รีวิว Uncharted (2022)
Uncharted’ เกมสุดฮิตของค่ายนอตีด็อก ที่ทำลงแพลตฟอร์มของเพลย์สเตชัน ได้กลายเป็นหนังแล้วโดยโซนี พิคเจอร์ส ปฏิเสธไม่ได้ว่าบางครั้ง แฟรนไชส์เกมบางเกมที่เน้นการเล่าเรื่องบางครั้งก็เป็นหนึ่งในสื่อที่เล่าเรื่องได้ดีทัดเทียมภาพยนตร์เลยเสียด้วยซ้ำถึงกับเปิดค่ายย่อยอย่าง ‘The PlayStation Studios’ มารองรับการดัดแปลงเกมเป็นหนังโดยเฉพาะโดยมี ‘Uncharted’
เล่าเรื่องราวของ นาธาน เดรก หรือ เนท (ทอม ฮอลแลนด์) โจรหนุ่มที่ทำงานเป็นบาเทนเดอร์ เขาเป็นคนฉลาดเชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ และเป็นคนมีไหวพริบ เขามีพี่ชายที่สนิทและรักกันมาก แต่มีเหตุให้ต้องแยกจากกันเมื่อ 15 ปีก่อน และขาดการติดต่อไป
แต่อยู่มาวันหนึ่ง ซัลลี่ (มาร์ค วอห์ลเบิร์ก) มาหาเนท และบอกว่าเป็นเพื่อนของพี่ชายเนท จากนั้นก็ชวนเนทไปทำภารกิจผจญภัยล่าขุมทรัพย์ทองคำของ มาเจลลัน สมบัติที่หายสาปสูญไปนานกว่า 500 ปี ก่อนที่ มอนคาด้า (แอนโตนิโอ แบนเดอรัส) ผู้ที่คิดว่าตัวเองคือผู้สืบทอดและเป็นเจ้าของที่แท้จริงของมหาสมบัติจะได้ไปครอบครอง
บทสรุปจะเป็นอย่างไรต้องไปรับชมด้วยตาตัวเอง
Uncharted บอกเล่าเรื่องของ นาธาน เดรค เด็กหนุ่มบาร์เทนเดอร์ ผู้อาศัยในนิวยอร์ก และอาศัยความมือไวของตัวเองฉกของมีค่าจากลูกค้าในบาร์ จนกระทั่งวันหนึ่ง วิคเตอร์ “ซัลลี่” ซัลลิแวน นักล่าสมบัติชักชวนเนทให้มาร่วมล่าสมบัติของนักเดินเรือรอบโลกคนแรกในประวัติศาสตร์อย่าง
เฟอร์ดินานด์ มาเจลลัน ที่ว่ากันว่ามีขุมทองกองใหญ่ซ่อนอยู่ ครั้งแรก นาธาน เกือบจะปฏิเสธไป แต่ทันทีที่ได้ยินชื่อพี่ชายที่หายไปนานอย่าง แซม ทำให้เขาตัดสินใจเข้าร่วมการตามล่าสมบัติครั้งนี้
เราพอจะรู้จักกิตติศัพท์จาก Uncharted มาบ้าง ว่าเป็นหนึ่งในเกมผจญภัยที่ได้รับคำชมอย่างสูงและเป็นการผสมรวมการผจญภัยปนตลกและกลายเป็นหนึ่งในแฟรนไชส์เกมที่ผู้คนหลงรัก จนค้นพบว่า Uncharted เดินเรื่องแทบจะคล้าย ๆ กับในตัวเกม
ที่เปิดมาด้วยฉากใหญ่ซึ่งเป็นเหตุการณ์โกลาหล ก่อนจะย้อนไปเล่าตั้งแต่ต้นใหม่ มีการฉากบู๊ไล่ล่าเล็ก ๆ แทรกด้วยการต่อปากต่อคำระหว่างตัวละคร การไขปริศนาและแทรกประวัติศาสตร์โลกเอาไว้ และไล่ไปสู่ฉากแอ็คชั่นน่าตื่นตาในองก์ท้าย
ส่วนที่ดีคือ การออกแบบฉากแอ็คชั่นใหญ่ ๆ ในเรื่องที่เรารู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่ตระการตา ทั้งฉากขายอย่างไต่กล่องสินค้ากลางเวหา และฉากเรือสำเภาลอยฟ้าช่วงท้ายเรื่อง ก็เป็นการออกแบบฉากแอ็คชั่นบ้าบิ่นที่สมฐานะแฟรนไชส์ Uncharted ที่ดี นอกเหนือจากนี้
การแสดงหลักของเหล่าทีมนักแสดง ทั้ง ทอม ฮอลแลนด์ ที่ยังคงทำหน้าที่นำเรื่องได้ดี และในรายของอันโตนิโอ แบนเดเรส ก็ฉายแววอำมหิตได้บ้าง
อย่างไรก็ดี แม้จะเข้าไปดูด้วยความหวังที่ไม่มาก แต่ตัวหนังก็ไม่ได้ทำหน้าที่ได้ดีนัก ซึ่งปัญหาส่วนมากน่าจะมาจากการปูบทและไดเรคชั่นการกำกับที่เข้าขั้นแห้งแล้ง ทั้งการปูความสัมพันธ์ให้เราเห็นการทำงานร่วมกันครั้งแรกระหว่าง เนท-ซัลลี่ ซึ่งก็ไม่ได้จูงใจอะไรให้เราเชื่อขนาดนั้น
มีการสร้างความขัดแย้งเรื่องความเชื่อใจ แต่ก็ไม่ได้ผูกเงื่อนไขและคลายปมที่สร้างแรงจูงใจได้ดีพอจะให้เรารู้สึกดีไปกับความสัมพันธ์เหล่านั้น แถมการขีดเขียนตัวละครก็มีแค่แรงจูงใจไม่กี่อย่าง ก็ทำให้ตัวละครดูแบนราบจนแทบไม่มีมิติตัวละครเลย
รีวิว Uncharted (2022)
นอกจากนี้ แม้นักแสดงอย่าง ทอม ฮอลแลนด์ จะทำหน้าที่ครองจอและแสดงฉากผาดโผนได้ดี แต่เรารู้สึกว่าการคัดเลือกตัวแสดงอย่าง ฮอลแลนด์ ในบทนาธาน และ วอห์ลเบิร์ก ในบทซัลลี่ ก็ดูจะ miscast ไปมาก ๆ เพราะหลายช่วงเราก็ยังคงติดภาพพ่อหนุ่มปีเตอร์มาในหนังนี้
(ยิ่งหนังใส่บุคลิกตัวละครที่แทบจะคล้ายกันมาด้วย) แถมบทซัลลี่ที่ต้องมีอายุและแสดงถึงความสูงวัยถูกใส่เข้ามา แต่ด้วยกายภาพของวอล์หเบิร์กที่กำยำก็ไม่ได้ทำให้เราเชื่อโดยสิ้นเชิง แม้บางช่วงบางตอนเคมีทั้งคู่จะค่อนข้างดีก็เถอะ
แถมด้วยตัวบทที่ว่าด้วยการล่าสมบัติก็ดูตื้นเขินไม่น่าตื่นเต้น ไม่ว่าจะเป็นการขีดเขียนให้ตัวละครออกเดินทางเพื่อตามล่าหาเบาะแส ก็ทำได้ยุ่งเหยิงแต่ไม่มีชั้นเชิงเสียเท่าไหร่ แถมช่วงเวลาในการค้นพบก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกทึ่งตะลึงงันแบบที่หนังประเภทนี้ควรจะเป็น ซึ่งถือว่าน่าเสียดายมาก ๆ
หนังเริ่มเรื่องด้วยวัยเด็กของ นาธาน เดรค ที่ร่วมมือกันหวังปล้นแผนที่ขุมทรัพย์แต่กลับถูกจับได้ทำให้แซมพี่ชายของเขาต้องหายไปจากชีวิตจนปัจจุบัน เดรค (รับบทโดย ทอม ฮอลแลนด์) ต้องเลี้ยงชีพด้วยการเป็นบาร์เทนเดอร์และแอบจิ๊กของลูกค้าเลี้ยงชีพ
แต่กลอุบายของเขาก็ถูกจับไต๋ได้โดยวิกเตอร์ ซัลลิแวน (รับบทโดย มาร์ค วาห์ลเบิร์ก Mark Wahlberg) ยอดโจรสมองเพชรที่ชวนเขาร่วมภารกิจล่าขุมทรัพย์โดยใช้ปริศนาการหายตัวไปของแซมมาเป็นสิ่งล่อใจ
แต่พวกเขาไม่ใช่คนกลุ่มเดียวที่ออกตามล่าสมบัติแต่ยังมี ซานติอาโก มอนคาดา (รับบทโดย แอนโทนิโอ แบนเดอราส Antonio Banderas) นักธุรกิจขาใหญ่ พร้อมด้วยแบรดด็อก (รับบทโดย ทาทิ แกเบรียล Tati Gabrielle)
มือสังหารสาวโหดที่ยอมมือเปื้อนเลือดเพื่อให้ได้ครองสมบัติ รวมถึงโคลอี เฟรเซอร์ (รับบทโดย โซเฟีย อาลี Sophia Ali) ผู้ครองกุญแจอีกหนึ่งดอก โดยงานนี้เดรคไม่อาจไว้ใจใครได้เลยแม้กระทั่งซัลลิแวน
อย่างที่เกริ่นไปข้างต้นว่าหนังเพียบพร้อมด้วยทีมงานเกรด A ในการผลิตหนังแอ็กชันผจญภัยสักเรื่องให้ออกมาบันเทิงและเรียกเงินเข้ากระเป๋าโซนีได้เป็นกอบเป็นกำ ถ้าเราจะเอาแค่ความสนุกแบบดูจบแล้วลืม ๆ ไปเลย ‘Uncharted’ มีให้คุณแน่นอนครับ
แถมเซอร์วิสแฟนเกมหนักมาก ๆ ทั้งสกอร์ดนตรีประกอบและภาพโหมดสโลว์โมชันที่แทบถอดแบบจากเกมมาเอาใจสายเกมเมอร์โดยเฉพาะ พร้อมวิช่วลเอฟเฟกต์แบบเชื่อมือได้สไตล์สตูดิโอหนังระดับบิ๊ก หากต้องการแค่นี้ผมยืนยันว่าหนังมีให้แน่นอนครับ
แต่สิ่งที่ ‘Uncharted’ ทำตกหล่นอย่างไม่น่าให้อภัยเลยประการแรกคือการสร้างตัวละครที่ดึงดูดใจ สมมติว่าเอาคนอื่นมารับบทนาธาน เดรค ก็ยากล่ะครับที่คนดูจะอยากเอาใจช่วยบาร์เทนเดอร์นิสัยโจรที่ทั้งเรื่องหาความฉลาดแทบไม่เจอโดนหลอกแล้วหลอกอีกดักดาน
จนงงว่ามันจะไปคิดปริศนาสมบัติอันซับซ้อนได้ยังไง แถมหนังก็เลือกเล่าข้าม ๆ ไปหลายจุดจนมันขาดความเชื่อถือดูไปเกิดอาการเอ๊ะไปยังไงยังงั้น
ความรู้สึกหลังดู
ความรู้สึกแรกหลังจากที่ได้ดู ผมกลรู้สึกว่าสนุกและบันเทิงดี ไม่ได้แย่สำหรับผม และค่อนข้างชอบด้วย แต่ก็มีจุดหลักๆที่ไม่ชอบเหมือนกัน ผมขอบอกก่อนว่าผมไม่ใช่แฟนเกมส์ Uncgarted และไม่ได้รู้เนื้อเรื่องของเกมส์มาก่อน เข้าไปดูแบบไม่รู้อะไรเลย แต่บอกเลยว่ารู้เรื่องทั้งหมด เข้าใจได้อย่างง่ายๆเลย
เพราะหนังเล่าเรื่องราวย้อนกลับไปก่อนเหตุการณ์ในเกมส์ภาคแรก เป็นเรื่องราวของ นาธาน เดรก ในวัยหนุ่ม ก็คือเริ่มตั้งแต่ต้น ดังนั้นคนไม่ใช่แฟนเกมส์ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะดูไม่รู้เรื่อง ตัดสินใจซื้อตั๋วเข้าไปดูได้เลย อาจจะชอบหรือไม่ชอบก็ได้ แต่คงไม่ถึงขนาดเสียดายค่าตั๋ว
เพราะภาพรวมของหนังถือว่าทำออกมาได้ดีอยู่ เป็นหนังที่ทำเพื่อทุกคนที่ไม่ลืมที่จะเอาใจแฟนเกมส์ และก็ไม่ทอดทิ้งคนที่ไม่ใช่แฟนเกมส์ ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีเพราะจะได้มีโอกาสสร้างรายได้แบบเต็มที่ เพื่อนะได้เป็นแฟรนไชส์และมีภาคต่อๆไป
ส่วนตัวผมเชียร์ให้ประสบความสำเร็จและได้ไปต่อนะ เพราะถ้าไปต่อก็จะเข้าเนื้อเรื่องตามในเกมส์ ซึ่งอาจทำออกมาได้ดีก็ได้ ผมมองว่าภาคแรกนี้เป็นเหมือนแค่การอุ่นเครื่องซะมากกว่า ถ้าภาคต่อไปได้สร้างขึ้นมาจริงๆ และทำการปรับปรุงจุดที่ผิดพลาดในภาคนี้ไปได้ มันจะกลายเป็นหนังที่สนุกมากๆแน่นอน เพราะหนังเรื่องนี้ก็มีจุดที่ทำได้ดีมากๆ และน่าจดจำอยู่เช่นเดียวกัน
ตรงกันข้ามกับบรรดานักแสดงที่มาสมทบโดยเฉพาะแอนโทนิโอ แบนเดอราสที่เสน่ห์แบบหนุ่มใหญ่ล้นเหลือมาก สำเนียงสแปนนิชก็เซ็กซี่จนกลบบรรดานักแสดงหลาน ๆ ซะมิดเชียวหรือจะเป็น ทาทิ แกเบรียล ในบทมือสังหารสาวก็ยังทำให้เราเห็นความเท่ของเธอ
หรือจะเป็น โซเฟีย อาลี ที่ได้โชว์ความสวยคมคายแบบสาวลูกครึ่งตะวันออกกลางจนอย่างน้อยคนดูหนุ่มๆ ก็มีอะไรให้กระชุ่มกระชวยหัวใจบ้าง
ย้ำกันอีกทีว่าแม้จะพลาดและไม่น่าจดจำ แต่อย่างน้อย ‘Uncharted’ ก็มาเติมเต็มให้โรงหนังมีโปรแกรมที่ดึงดูดคนดูกลุ่มใหญ่ได้ และที่สำคัญหนังก็ยังทำหน้าที่ได้ดีในฐานะหนังบันเทิงเรื่องหนึ่ง เพียงแต่หากอยากให้ตัวหนังมีฐานแฟนคลับเท่าเกมอาจต้องพัฒนาบทหนังและตัวละครนำให้น่าสนใจกว่านี้อีกเยอะ
หลังจากรีวิวมาทั้งหมด ผมขอสรุปภาพรวมของหนังเรื่องนี้ ตามความรู้สึกส่วนตัวของผมนั้น ผมมองว่าหนังเรื่องนี้ทำออกมาได้ดีพอสมควร เพราะยังสามารถมอบความสนุก และความบันเทิงให้กับผมได้ และไม่รู้สึกเสียดายตังค์หรือเสียดายเวลา
แม้ว่าจะมีหลายจุดที่ยังไม่ดีพอ แต่ก็ยังมีข้อดีหลายอย่างที่ช่วยประคองให้หนังเรื่องนี้ไม่ออกมาแย่ แต่ถ้าถามว่าถึงกับห้ามพลาดเลยไหม ก็ขอตอบตามตรงว่าไม่ได้ขนาดนั้น คือ เลือกจะดูก็ได้ หรือเลือกจะไม่ดูก็ไม่ได้พลาดอะไรไป แต่ถ้าว่างๆก็ดูได้สนุกดี
ให้อารมณ์เป็นหนังสำหรับดูในวันหยุด พักผ่อนสบายๆ ไม่ต้องใช้สมองวิเคราะห์อะไรมากมาย เหมาะกับพาเพื่อนฝูงหรือครอบครัวไปดู และสุดท้ายนี้จากที่กล่าวมายืดยาวทั้งหมด ผมของให้คะแนน Uncharted ผจญภัยล่าขุมทรัพย์สุดขอบโลก ไว้ที่ 7/10 คะแนน
ชื่อเรื่อง : Uncharted (ผจญภัยล่าขุมทรัพย์สุดขอบโลก)
ความยาว : 1 ชั่วโมง 56 นาที
วันที่ฉาย : 16 กุมภาพันธ์ 2022
แนว : แอ็คชั่น , ผจญภัย , คอมเมดี้
ผู้กำกับ : Ruben Fleischer