รีวิว the twilight saga : breaking dawn part 2
และแล้วก็มาถึงบทสรุปของมหากาพย์แวมไพร์ ทไวไลท์กันแล้วนะคะ ซึ่งในภาคนี้มีหลายอย่างเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเปลี่ยนการเปลี่ยนผ่านจากวัยเรียนเป็นวัยผู้ใหญ่ที่ต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้นของสองตัวละครหลักอย่างเบลล่าและเอ็ดเวิร์ด และแน่นอนว่าความสัมพันธ์รักสามเศร้าก็ยังอยู่ยงคงกระพันเช่นเดิม
แต่ในภาคนี้เราจะได้รู้ความจริงกันแล้วค่ะว่าทำไมเจคอบถึงได้รักและหวงแหนเบลล่ามากขนาดนี้ แล้วทำไมเบลล่าที่ดูรักเอ็ดเวิร์ดมาก ๆ ถึงได้หวั่นไหวกับเจคอบได้อย่างง่ายดาย และตัวละครที่เข้ามาสร้างสีสัน คงไม่พ้นกุญแจสำคัญอย่าง “เรเนสเม่” เด็กสาวหน้าตางดงามที่สวยราวกับตุ๊กตาซึ่งแสดงโดยแม่หนูน้อย แมคเคนซี่ ฟอย (Mackenzie Foy) ต้องขอชื่นชมเลยว่าทีมแคสเลือกนักแสดงได้ดีมาก ๆ เพราะเธอมีหน้าตาน่ารักน่าชังและละม้ายคล้ายคลึงกับคริสเตนและโรเบิร์ตจนเราเกือบเชื่อว่าเธอเป็นลูกสาวของพวกเขาจริง ๆ หนังแนะนำใหม่
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นหลังจาก เบลล่า สวอน (ครินเตน สจ๊วต) คลอด เรเนสเม่ (แมคเคนซี่ ฟอย) ลูกสาวของเธอ หลังเห็นหน้าลูกน้อยเพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียว เบลล่าหมดสติไปทันทีทำให้ทั้ง เอ็ดเวิร์ด คัลเลน (โรเบิร์ต แพตตินสัน) และ เจคอบ แบล็ก (เทย์เลอร์ เลาต์เนอร์) เศร้าเสียใจมาก พวกเขาทำทุกวิถีทางเพื่อฟื้นคืนชีวิตของเธอ เจคอบโกรธแค้นและหวังจะฆ่าเรเนสเม่ เพราะเธอเป็นต้นเหตุให้เบลล่าตาย แต่หลังเห็นหน้าเด็กน้อยครั้งแรกดวงจิตของเขาทั้งสองก็เชื่อมต่อกันทันที
ไม่กี่วันต่อมาเบลล่าฟื้นขึ้นมาพร้อมกับพิษแวมไพร์ที่เอ็ดเวิร์ดฉีดเข้าทั่วร่างกาย เธอรู้สึกราวกับได้เจอชีวิตที่ตามหามาแสนนาน เบลล่าเริ่มเรียนรู้วิธีควบคุมความกระหายและอดทนต่อความต้องการต่าง ๆ เพื่อที่จะได้เข้าใกล้ลูกสาวของเธอ เนื่องจากลูกสาวของเธอนั้นเป็นมนุษย์ครึ่งแวมไพร์ที่มีเลือดเนื้อด้วย และไม่นานพวกโวลตูรีกลุ่มแวมไพร์ที่
คอยควบคุมแวมไพร์ทุกตัวที่นำโดย อาโร (ไมเคิล ชีน) รู้เรื่องนี้เข้าจากความเข้าใจผิดของ เอรินา (แม็กกี้ เกรซ) ที่เป็นญาติของครอบครัวคัลเลน เพราะเธอคิดว่าเรเนสเม่เป็นเด็กอมตะที่อาจจะเป็นอันตรายต่อการเปิดตัวตนของแวมไพร์ได้ อาโรที่ต้องการล้มล้างครอบครัวคัลเลนอยู่แล้วจึงยกกองทัพโวลตูรีมายังฟอร์คส เพื่อเปิดสงครามระหว่างแวมไพร์ ซึ่งเจคอบเองก็ยินยอมพร้อมใจที่จะเข้าสู้ในศึกครั้งนี้เพื่อปกป้องเรเนสเม่ร่วมกับสมาชิกคัลเลนและเหล่าพันธมิตรเขาด้วย ดูหนัง
รีวิว the twilight saga : breaking dawn part 2
ภาคนี้แสดงให้เราเห็นถึงพลังของความรักและมิตรภาพระหว่างครอบครัวคัลเลนและเหล่าพันธมิตรที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากทั่วทุกมุมโลกเพื่อร่วมเป็นสักขีพยานในการยืนยันความบริสุทธ์ของเราเรสเม่และร่วมต่อสู้ในสงครามระหว่างคัลเลนและกลุ่มโวลตูรีที่ถือว่าทรงอิทธิพลและน่ากลัวที่สุดในหมู่แวมไพร์อย่างไม่เกรงกลัว สิ่งเหล่านี้สะท้อนให่เราได้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและจริงใจที่หาได้ยากในปัจจุบันค่ะ และนอกจากเหล่าแวมไพร์แล้วฝูงหมาป่าเองก็เตรียมพร้อมช่วยเหลือในศึกครั้งนี้อีกด้วย เว็บหนัง
อย่างที่บอกไปในภาค 4.1 เบรกกิ้งดอนแล้วนะคะว่าเด็กอมตะถือเป็นภัยร้ายสูงสุดต่อทั้งฝูงหมาป่าและเหล่าแวมไพร์ด้วยกันเอง และแน่นอนว่าเมื่ออาโรรู้เรื่องนี่เข้าก็รีบเดินทางมาเข้าพบครอบครัสคัลเลนแทบจะทันที และด้วยความแค้นส่วนตัวที่ต้องการกำจัดหมอคาร์ไลน์เป็นทุนเดิมอยู่แล้วทำให้อาโรนั้นขนพันธมิตรโวลตูรีมาอย่างคับคั่ง เพราะคาดว่าถ้าตกลงกันไม่ได้ก็พร้อมเปิดศึกเลยทันที แต่สถานการณ์ก็คลี่คลายลงหลังอลิซมอบให้อาโรได้เห็นถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นผ่านมิมิตของเธอ the twilight saga สปอย
การดำเนินเรื่อง
เมื่อเบลล่าได้กลายเป็นแวมไพร์แล้ว นอกจากเธอจะแข็งแกร่ง วิ่งเร็ว และมีสายตาที่กว้างไกลแล้ว เธอยังมีพลังพิเศษที่สามารถปกป้องตัวเองได้ รวมถึงปกป้องคนอื่นได้ด้วย (แต่จะต้องฝึกฝนพลังพิเศษนี้อีกเยอะกว่าจะสามารถปกป้องคนอื่นได้) ดูหนังฟรี ซึ่งด้วยพลังนี้เองจึงทำให้แม้แต่เจนหนึ่งในแวมไพร์สมาชิกของโวลตูรี่ที่สามารถบังคับจิตใจใครก็ได้ถึง
กับต้องหงายเงิบมาแล้ว อันที่จริงแล้วหากใครจำภาคแรกได้ก็จะร้องอ่อทันที เพราะในภาคแรกนั้นได้บอกเป็นนัย ๆ มาก่อนแล้วว่าเธออาจจะมีพลังพิเศษบางอย่างที่ยังเป็นปมปริศนาให้สงสัยอยู่ เพราะเอ็ดเวิร์ดไม่สามารถอ่านจิตใจเธอได้เลย มันทำให้เขายิ่งรู้สึกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่แตกต่างและชวนให้เข้าหาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งตอนนี้ปริศนานี้ก็ได้คลายความสงสัยไปแล้วค่ะ
เรเนสเม่ ลูกครึ่งมนุษย์-แวมไพร์ ลูกสาวของเอ็ดเวิร์ดและเบลล่า บอกได้เลยว่าเธอคือกุญแจสำคัญที่สุดในภาคนี้ เพราะเรเนสเม่จะเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเอ็ดเวิร์ดเบลล่าและเจคอบให้เป็นครอบครัวเดียวกันซึ่งในเรื่องนี้หนูน้อยแมคเคนซี่ ฟอย ที่รับบทเป็น เรเนสเม่ ก็สามารถแสดงออกมาได้ดีเยี่ยม ทั้งหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูและการแสดงที่ดูเป็นธรรมชาติ และเมื่อยืนร่วมกับโรเบิร์ตและคริสเตนก็ดูเป็นครอบครัวมากที่สุด the twilight saga สปอยหนัง
พล็อตเรื่อง
จะเห็นได้ว่าในภาคนี้ จะมีสถานที่สวยงามอยู่หลายฉาก เช่น ฉากภูเขาน้ำแข็ง ,ฉากภูเขาหิมะ และยังมีเส้นทางธรรมชาติอีกหลายฉาก ซึ่งในความสวยงามของธรรมชาติเหล่านั้น ทำให้ผู้ที่หลงไหลรักในธรรมชาติอยากลองไปสัมผัสกับความสวยงามจริง ๆ สักครั้ง และยังรวมถึงงานเทคนิคพิเศษเกียวกับธรรมชาติ ก็ทำออกมาได้ดีจนทำให้มีความรู้สึกว่า อย่าลองไปสัมผัสกับอากาศจริง ๆ แบบนั้น สักครั้งในชีวิต ดูหนังใหม่
ถ้าหากเพื่อน ๆ ได้ติดตามดูซีรีส์เรื่องนี้มาตั้งแต่ภาคแรก ๆ ก็จะเห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างเบลล่าและเจตอบค่อนข้างยุ่งเหยิง ตัวเบลล่าเองดูจะมีความสับสนและไม่รู้หัวใจของตัสเอง และภาคนี้นี่แหละค่ะที่จะเป็นการเฉลยปริษนาความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสอง โดยสาเหตุที่เจคอบมีความรู้สึกทั้งรักทั้งหลงเบลล่าและต้องมูฟออนเป็นวงกลม
อยู่เรื่อยนั้น ที่จริงแล้วคู้แท้ของเจคอบไม่ใช่เบลล่าแต่เป็นเรเนสเม่ ลูกของเธอต่างหาก และสาเหตุที่เจคอบต้องทำทุกวิถีทางเพื่อปกป่องเบลล่าก็เพราะเรเนเม่ที่อยู่ในตัวของเธอนั่นเอง ถือว่าเป็นการแก้ปมที่ค่อนข้างจะสมเหตุสมผลเลยทีเดียวค่ะ the twilight saga ซับไทย
รีวิว the twilight saga : breaking dawn part 2 บทสรุป
สำหรับกระแสที่แรงจนหยุดไม่อยู่ทำให้ The Twilight Saga : Breaking Dawn Part 2 ได้สร้างสถิติใหม่ให้กับโลกอีกครั้ง ด้วยการเปิดจำหน่ายตั๋วล่วงหน้าของ The Twilight Saga : Breaking Dawn – Part 2 เพียงแค่วันแรก ก็ทำลายสถิติการขายของทุกภาคลงอย่างสิ้นเชิง ด้วยยอดขายที่มากเกินกว่า 1.17 ล้านเหรียญ
(Breaking Dawn – Part 1 ที่ขายวันแรกได้ 626,000 เหรียญ) เป็นการตอกย้ำว่ามหากาพย์ความรักระหว่างมนุษย์-แวมไพร์-มนุษย์หมาป่ายังเป็นที่นิยมของแฟน ๆ ถึงแม้ว่าจะผ่านมาถึงภาคที่สี่แล้วก็ตาม ทำให้เดอะทไวไลท์ปิดตัวลงได้อย่างสวยงามและจะยังตราตรึงอยู่ในใจคนดูอีกนานแสนนานไม่แพ้ซีรีส์ดัง ๆ เรื่องอื่นเลยค่ะ และที่ทำให้แฟน ๆ
ต้องกรี๊ดเพราะหลังจากจบภาคสุดท้ายก็มีการเปิดเผยว่าคริสเตนและโรเบิร์ตกำลังคบหากันอยู่จริง ๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมการแสดงของพวกเขาถึงได้สมบทบาทจนทำให้คนดูอย่างเราอินได้มากขนาดนี้ (แม้ว่าปัจจุบันตอนนี้ทั้งคู่จะมีแนวทางและแยกย้ายกันมีชีวิตของตัวเองแล้วก็ตาม แต่ครั้งหนึ่งก็เคยทำให้นักจิ้นอย่างพวกเราได้สมหวังกัน ก็ถือว่าบรรลุนิพพานแล้วจ้า) the twilight saga บทสรุป
โดยรวมหนัง
ต้องขอบอกเลยว่า Breaking Dawn Part 2 ถือได้ว่าเป็น ทไวไลท์ ภาคที่สนุก และ ดีที่สุด รองมาจากภาค 1 ในหนังตระกูลนี้เลยก็ว่าได้ เพราะถ้าหากใครเคยคิดว่าภาค 1 สนุกได้เพราะอารมณ์รัก โรแมนติค ผสมผสานไปกับเพลงเพราะๆแล้วละก็ คุณก็น่าจะเตรียมพร้อมที่จะสนุกไปกับภาค 4.2 ได้เลย เพราะจะเป็นภาคที่ทำให้คนดูทั้งผู้หญิง และ
ผู้ชาย ได้ร่วมสนุกไปกับฉากแอ็คชั่นมันส์ๆ และมุกตลกร้าย ที่ทำเอาคนดูปรบมือแทบทั้งโรง ซึ่งก็แน่นอนอยู่แล้วว่า ฉากปะทะกันระหว่าง วัลโตรี และ แก๊งค์แวมไพร์ ในตอนท้ายเรื่อง ถือว่าเป็นจุดขายที่สำคัญของภาค 4.2 ว่าแล้วสงสัยผู้กำกับ บิล คอนดอน คงแอบจะไปทำการบ้านอยู่
ผลลัพธ์ที่ออกมาในด้านของฉากแอ็คชั่นตอนท้ายเรื่อง จึงค่อนข้างน่าพอใจ และถือว่าทำเอาออกมาเอาใจฝ่ายของ ผู้ชาย มากพอสมควร ด้วยการที่ฉากแอ็คชั่นเต็มไปด้วยการต่อสู้อันหนักแน่น และ ฉูดฉาด ด้วยฉากโหดๆ จนทำให้เราหลายคนอาจจะลืมไปได้ว่า เรากำลังดู ทไวไลท์ อยู่ ผสมผสานไปกับการที่ภาคนี้ ผู้กำกับ บิล คอนดอน
คงจะพยายามให้คนดูสนุกกับการต่อสู้ครั้งสุดท้ายมากที่สุด จึงตัดฉากรัก โรแมนติค ที่เหล่าผู้ชายเกลียดออกไปจนเหลือเพียงแค่ 10% ของเรื่อง จึงเป็นอีกข้อดีนึงที่สามารถทำให้ฉากแอ็คชั่นตอนท้ายเรื่องสนุก เพราะตลอดเวลา 115 นาทีของตัวหนังถือว่าปูเรื่องราวเพื่อนำไปสู่ตอนไคล์แมกซ์ได้ค่อนข้างลื่นไหล และไม่น่าเบื่อเท่าภาคอื่นๆ พร้อมทั้งตัวหนังยังมีการพยายามพูดถึงเรื่อง การรับวัฒนธรรมแปลกใหม่ และ ความเชื่อ ของสิ่งมีชีวิต the twilight saga สนุกไหม
ผ่านกลุ่ม วัลโตรี ในท้ายเรื่องได้อย่างไม่ยัดเยียด และ เป็นธรรมชาติอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ข้อเสียหลักของหนังชุดนี้ ที่ยังไงก็ยังแก้ไม่หายจนหนังเขาปิดชุดวรรณกรรมกันไปเรียบร้อยแล้ว ก็คงหนีไม่พ้นด้านของนักแสดง ที่ไม่ว่าจะเป็น คริสเต็น สจ๊วต, โรเบิร์ต แพททินสัน และ เทย์เลอร์ เลาท์เนอร์ ที่ดูยังไงก็ยังเหมือนกันกับคนดูกำลังดู
ทไวไลท์ ภาค 1 ที่เหล่านักแสดงยังเป็นหน้าใหม่ และเล่นค่อนข้างแข็งกันอยู่ แถมการที่หนังใช้เวลาการเล่าเรื่องในช่วงแรกมากพอสมควร พร้อมทั้งตัวละคร เบลล่า ยังเป็นผู้หญิงที่น่ารำคาญอยู่ ก็อาจจะยังเป็นบางเหตุผลที่ทำให้คุณผู้ชายบางคนยังค่อนข้างไม่ชอบ ทไวไลท์ ในภาคนี้กันอยู่
แต่สำหรับตัวผมแล้ว ส่วนตัวผมกลับค่อนข้างพอใจ และเป็นตัวหนังที่พอดูสนุกกว่าที่คิด ด้วยการที่ตัวเรื่องไปในแนวทางของหนัง แอ็คชั่น ปน ตลกร้าย จึงได้ว่า Twilight ภาคนี้เป็นภาคที่ค่อนข้างลงตัวต่อจาก ภาค 1 เลยก็ว่าได้ โดยถ้าหากมีอะไรที่ยังคงไม่ทำให้คุณผู้อ่านถูกใจก็เห็นจะมีแต่การแสดงเนี่ยแหละนะครับ รีวิวหนังใหม่ชัด