รีวิว SINISTER เห็นแล้วต้องตาย
บ้านคือวิมาน.. แต่ถ้าหากคุณรู้อยู่เต็มอกว่าบ้านที่ต้องกลับไปทุกเย็น ต้องนอนหลับพักผ่อนเป็นระยะเวลานานหลายชั่วโมงเคยมีครอบครัวที่ถูกฆาตกรรม หรือฆ่าตัวตายยกบ้านมาก่อน คุณจะกล้าอาศัยอยู่หรือเปล่า!? แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่คงส่ายหัว พร้อมกับพูดว่า “ไม่!” ออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำ แต่ดูเหมือนว่าสามัญสำนึกขั้นพื้นฐานแบบมนุษย์ทั่วไปจะไม่สามารถใช้ได้กับครอบครัวในหนังผี Sinister เห็นแล้วต้องตาย ที่กำลังจะพูดถึงในบทความชิ้นนี้
ประเภท : ครอบครัว/ผี/สยองขวัญ
ปีที่ฉาย : 2012
เวลา : 1.50 ชั่วโมง
IMDb: 6.8 /10
หนังผี Sinister เห็นแล้วต้องตาย เป็นเรื่องราวของนักเขียนนิยายอาชญากรรม ที่กำลังอยู่ในช่วงขาลงเพราะเริ่มที่เขียนหนังสือไม่ออกมานานกว่า 10 ปี เขาจึงได้พาครอบครัวย้ายเข้าไปอาศัยอยู่ในบ้านที่เคยเกิดเหตุฆาตกรรมสุดสยอง โดยหวังว่าบรรยากาศชวนขนลุกที่เคยมีคนตายจะช่วยสร้าง
แรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือให้มากขึ้นกว่าเดิม แต่.. หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้พบกับโฮมภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับการเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาของครอบครัวก่อนหน้า เขาจึงได้พยายามหาคำตอบว่าอะไรที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวอันเลวร้ายนี้ ก่อนที่มันจะหันมาเล่นงานครอบครัวที่รักของตัวเอง
หนังผี Sinister เห็นแล้วต้องตาย เป็นหนังที่มีเนื้อหา “เรียบง่าย” คนดูจะได้เฝ้าสังเกตการณ์ค้นพบความจริงของตัวเองไปพร้อมกับเห็นการตอบสนองของเขาว่าจะรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร!? ทีมนักแสดงเองก็สามารถสวมบทบาทให้เข้ากับเรื่องราวได้เป็นอย่างดี และหนังเรื่องนี้ยังมีฉากที่สามารถทำให้คนขวัญอ่อนอาจต้องเผลอกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวออกมา 2-3 ครั้ง ได้เลยทีเดียว
นักเขียนหนังสือแนวฆาตกรรมอย่างเอลลิสัน (อีธาน ฮอว์ก) เขาย้ายเข้ามาในบ้านหลังใหม่ พร้อมกับภรรยาและลูกๆ อีก 2 คน เอลลิสันย้ายมาที่นี่เพื่อที่เขาจะได้เขียนหนังสือเรื่องใหม่ที่เกี่ยวกับการฆาตกรรมครอบครัวหนึ่ง ซึ่งบ้านที่พวกเขาย้ายมาก็คือบ้านของครอบครัวที่ถูกฆาตกรรม เขาพบ
อีกว่าบ้านหลังนี้ทิ้งแผ่นฟิล์มปริศนาเอาไว้จำนวนหนึ่ง เมื่อเปิดดูก็พบว่าเป็นฟิล์มที่ถ่ายทอดชีวิตประจำวันของคนภายในครอบครัว หลายครอบครัวด้วยกัน ก่อนช่วงท้ายของฟิล์มจะเผยให้เห็นการฆาตกรรมที่น่าสยดสยองของครอบครัวเหล่านั้นที่ถูกฆ่าตายโดยไม่เผยให้เห็นหน้าของฆาตกร
ในส่วนของจุดด้อย หนังผี Sinister เห็นแล้วต้องตาย การเล่าเรื่องโฟกัสไปที่ตัวละครเอกอย่างอีธานมากจนเกินไป เขาทำทุกอย่างด้วยตัวเองทั้งปกป้องครอบครัวและพยายามไขปริศนาหาความจริง การมุ่งเป้าไปที่ตัวละครเดียวทำให้เวลาในการถ่ายทอดเรื่องราวนั้นเป็นไปอย่างรวดเร็วมากจนเกินไป ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วมันควรมีเหตุการณ์อีกมากมายที่น่าจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาอันว่างเปล่า
สำหรับผู้เขียน หนังผี Sinister เห็นแล้วต้องตาย เป็นหนังผีที่อยู่ในระดับ “ปานกลาง” ไม่ได้แย่ และก็ไม่ได้ดีจนถึงขั้นทำให้ปลื้ม อย่างไรก็ตาม หนังผี Sinister เห็นแล้วต้องตาย ก็ยังถือว่าเป็นหนังที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง ที่สามารถเก็บเอาไว้ในรายการหนังผีสำหรับดูแก้เบื่อ ในคืนที่ต้องอยู่ห้องเพียงลำพังคนเดียวได้เช่นกัน
รีวิว SINISTER เห็นแล้วต้องตาย
เรื่องราวของ เอลลิสัน นักเขียนนิยายฆาตกรรมที่ออกเดินทางไปทั่วประเทศ เสาะหาเหตุฆาตกรรมเพื่อมาใช้เป็นแรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือ จนมาวันหนึ่ง เขาได้เข้าไปอาศัยอยู่ในบ้านที่เคยเกิดเหตุฆาตกรรมยกครัว เอลลิสันได้บังเอิญไปค้นเจอฟุตเทตวีดีโอที่เผยให้เห็นถึงหลักฐานบางอย่างของการฆาตกรรม แต่แล้วครอบครัวของเขาต้องตกอยู่ภายใต้ความสยองขวัญ เมื่อมีวิญญาณตามเล่นงานพวกเขา!!
โดยรวม หนังน่ากลัวดี ระทึกขวัญสยองขวัญใช้ได้ ภายใต้บรรยากาศบ้านที่ดูสยองๆ ฉากมืดๆ สลัวๆ ผีโผล่มาหลอกให้สะดุ้งตกใจอยู่เป็นระยะทำให้คนดูหายใจไม่ทั่วท้อง, เนื้อเรื่องชวนติดตามไขคดีว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นกันแน่กับครอบครัวที่ถูกฆาตกรรมยกครัว และตอนจบของหนังก็ยังทำให้คนดูต้องสตั้น! อีกด้วย
เอลลิสัน นักเขียนนิยายแนวฆาตกรรม ที่ออกตะเวนหาเหตุการณ์ฆาตกรรมเมื่อนำมาเขียนเรื่องราวในหนังสือของเขา จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็ได้ย้ายมาที่บ้านหลังใหม่ พร้อมกับครอบครัว โดยบ้านที่พวกย้ายมาก็เคยมีเหตุการณ์ฆาตกรรมยกครัวเกิดขึ้น อีกทั้งเขายังได้บังเอิญไปเจอฟิลม์บันทึก
เรื่องราวเก่าๆ อันสุดสยองของบ้านหลังนี้ จากหลายๆ ครอบครัวที่ต่างประสบชะตากรรมไม่ต่างกัน ไม่เว้นแม้แต่ครอบครัวของเขา ที่ต้องเผชิญกับความสยองจากบางสิ่งบางอย่างที่กำลังจะเอาชีวิตคนในบ้าน
สำหรับ Sinister นั้น ขอฝากเอาไว้ในอ้อมใจของหนังสยองขวัญมากๆ เพราะเป็นหนังสยองขวัญจากฝั่งอเมริกันไม่กี่เรื่องที่สร้างความสยองขนลุกขนพองได้อย่างถึงพริกถึงขิง และโดนอกโดนใจไปกับปัจจัยต่างๆ ของหนังสยองขวัญที่มีอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างบรรยากาศสุดหลอน
การโยนฉากสะดุ้งแบบเข้าไป พล็อตที่น่าสนใจน่าติดตาม รวมไปถึงตัวละครเอกที่น่าเอาใจช่วย ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เพียงพอที่จะให้คอหนังสยองขวัญรักมันได้ไม่ยากเลยจริงๆ ใครที่ชอบหนังผียุคใหม่ๆ อย่าง Insidious, lights out, babadook แล้ว เรื่องนี้คืออีกเรื่องที่ขอเชียร์มากจริงๆ
วันที่ออกฉาย : October 18, 2012
ความยาวหนัง : 1h 50min
ประเภท : Horror, Mystery, Thriller
ผู้กำกับ : Scott Derrickson
นักแสดงนำ : Ethan Hawke, Juliet Rylance, James Ransone, +more
ความรู้สึกหลังดู
รีวิวนี้จะมีสปอยล์ด้วยนะครับ ไม่อยากทราบข้ามไปอ่านดาวที่ด้านล่างได้เลยครับ
เอลลิสัน ออสวอลท์ (Ethan Hawke) นักเขียนหนังสือแนวรวบรวมความจริงเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมได้พาครอบครัวย้ายไปอยู่บ้านที่เคยเกิดการฆ่ากันตายเพื่อที่เขาจะได้เอาข้อมูลมาเขียนหนังสือเล่มใหม่ แล้วเขาก็ไปเจอฟิล์มเก่าๆ ที่ห้องใต้หลังคา พอเปิดดูก็เจอภาพการตายอย่างน่าสยองของหลายครอบครัว
เอลลิสันไม่รู้เลยครับ ว่าเขากำลังไปยุ่งกับเรื่องที่ไม่ควรข้องแวะแม้แต่น้อย
C. Robert Cargill คนเขียนบทหนังเรื่องนี้ได้ไอเดียหลังจากคืนหนึ่งเขาได้ดู The Ring (ฉบับฝรั่งนะครับ) แล้วเขาก็ฝันร้ายว่าเขาขึ้นไปห้องใต้หลังคา แล้วค้นเจอฟิล์มเก่าๆ เข้าม้วนหนึ่ง เขาเลยเปิดดู แล้วภาพที่ปรากฏในฟิล์มนั้นคือครอบครัวหนึ่งโดนแขวนคอตาย จากนั้นเขาก็ตกใจตื่นครับ แล้วพล็อตหนังก็ถือกำเนิดขึ้น
ถัดจากนั้นเขาก็คิดว่าหนังสยองแบบนี้ควรมีตัวร้ายที่น่าจดจำ เขาเลยตีความ “บูกี้แมน” ผีร้ายในตำนานที่คอยหลอกหลอนเด็กๆ ในเวอร์ชั่นใหม่ โดยตั้งโจทย์ว่าถ้าบูกี้แมนไม่ใช่หลอกหรือทำให้เด็กกลัว แต่เป็นการหลอกล่อล่ะ? จะเป็นยังไงถ้าบูกี้แมนแท้จริงแล้วคือปีศาจที่หลอกล่อเล่นสนุกแบบ
สยองกับเด็กๆ ก่อนจะพาพวกเขาไปอยู่ด้วย ทำตัวเหมือนวิลลี่ วองก้า (ตัวละครเจ้าของโรงงานช็อกโกแลตจาก Charlie and The Chocolate Factory) แต่เป็นวิลลี่เวอร์ชั่นสยองขวัญ
อีกหนึ่งหนังสยองขวัญที่เป็นขวัญใจคอหนังแนวนี้ไม่น้อย ด้วยเรื่องราวของหนังที่สร้างออกมาได้อย่างสุดหลอน และมีความน่ากลัวในระดับที่ต้องยกนิ้วให้ แม้ว่าพล็อตเรื่องของหนังจะไม่ใหม่นัก กับการที่ครอบครัวหนึ่งต้องย้ายเข้าไปในบ้านใหม่ แล้วต้องพบกับเหตุการณ์สุดสยอง แต่ทว่าตัว
หนังก็มีลูกเล่น ที่หลอกล่อคนดูได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเจ้าฟิลม์สยองขวัญเจ้าปัญหาที่สร้างความสยองออกมาได้อย่างเต็มเหนี่ยว และดูมีความสมจริงจนดูไปก็รู้สึกกลัวไปด้วย อีกทั้งเมื่อดูไปสักพัก เราก็จะพบว่าตัวหนังมันมีอะไรมากกว่าที่คิด และไม่ได้ดำเนินตามสูตรสำเร็จสไตล์หนังสยองขวัญเรื่องอื่นๆ สักเท่าไร เพราะหลายๆ ครั้งเราก็ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่า หนังจะมาเราไปจบที่ตรงไหน
นอกจากนี้มันยังเป็นหนังผีทีบิ๊วท์คนดูด้วยบรรยากาศสุดหลอน และสร้างความหวาดระแวงให้กับคนดูเป็นอย่างมาก จนกะจังหวะที่ผีออกมาได้ไม่ค่อยถูกเท่าไร ทำให้หลายๆ ทีผีโผล่มา ก็มักจะเป็นจุดที่คนดูเองก็ไม่ทันได้ตั้งตัว จนทำเอาสะดุ้งตัวโยนกับการใส่ฉากตุ้งแช่มาอย่างมีประสิทธิภาพ
และได้ผลในแทบทุกครั้งที่มันทำแบบนี้ อีกทั้งตัวความสยองของบรรดาภูติ ผี ปีศาจ ก็เป็นอะไรที่เข้ากับเรื่องราว ก็เลยกลายว่าเหมือนนังคอยบิวท์เราอยู่ตลอดเวลาให้เราไม่สามารถไว้ใจอะไรได้เลย นอกจากนี้ในด้านซาวด์ประกอบ ก็ยิ่งหลอนประสาทเข้าไปใหญ่
ด้วยองค์ประกอบทั้งหมดที่ว่ามา จึงไม่แปลกใจนัก หากหนังจะถูกใจคอหนังสยองขวัญกันซะเหลือเกิน ทั้งบรรยากาศสุดหลอน ประกอบกับจังหวะผีที่ยิงเข้าเป้า จนสะดุ้งบ่อยครั้ง อีกทั้งในตัวเรื่องราวก็หนังเองก็ยังมีความน่าสนใจ ที่จะให้คนดูร่วมสืบ ร่วมลุ้นไปกับตัวละครเอกถึงที่มาที่ไปของ
อาถรรพ์สุดเฮี้ยนในครั้งนี้ ซึ่งก็ต้องชื่นชม Ethan Hawk ในฐานะดาราที่แบกหนังเอาไว้เกือบทั้งเรื่อง ที่แม้ว่าเราอาจไม่ได้เห็นเขาในหนังสายสยองเท่าไรนัก แต่พอถึงเวลาที่จับเขาลงไปในหนังประเภทนี้ เขาก็กลับรับมือกับมันได้ดีเลยทีเดียว จนกลายเป็นอีกหนังผีที่เราอยากเอาใจช่วยตัวละครนำ ที่ทำอะไรค่อนข้างสมเหตุสมผล ไม่ค่อยตัดสินใจอะไรโง่ๆ แบบในหนังเรื่องอื่นๆ
พอไอเดียต่างๆ เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง เขาก็จัดการเอาพล็อตมาคิดต่อร่วมกับ Scott Derrickson ผู้กำกับ Hellraiser: Inferno, The Exorcism of Emily Rose และ The Day the Earth Stood Still ซึ่งเขาก็ทำหน้าที่กำกับหนังเรื่องนี้ด้วยครับ โดยพวกเขาค่อยๆ ตัดแต่งเรื่องราวให้ลงตัวมากขึ้น
พร้อมทั้งเปิดโอกาสสำหรับการทำภาคต่อ แล้วก็ปรับรายละเอียดในส่วนของบูกี้แมนเวอร์ชั่นใหม่ให้น่ากลัวขึ้น ลดโทนแบบวิลลี่ วองก้าอย่างที่ Cargill ตั้งใจแต่แรกให้จริงจังขึ้น
สำหรับตัวหนังถ้าให้ว่าตามจริงคือน่ากลัวดีครับ มาพร้อมองค์ประกอบที่หนังแนวนี้ต้องมี ตั้งแต่ตัวละครหนึ่งครอบครัวที่มีปัญหาง้องแง้งกันมานาน, บ้านที่มาพร้อมเรื่องสยอง, ของประหลาดที่ค่อยๆ โผล่มาสร้างความฉงน, ฉากมืดๆ หลืบสลัวๆ ที่ทำให้คนดูหายใจไม่ทั่วท้อง, ตัวร้ายตัวหลักที่มาพร้อมรูปลักษณ์ชวนผวา และตอนจบที่มีไว้หลอนความรู้สึกคนดู
ครับ หนังมีครบองค์ประกอบแล้วก็เดินเรื่องตามสไตล์หนังสยองที่มีปมปริศนาให้ตัวเอกติดตาม ว่าง่ายๆ ก็เหมือนเอา The Ring มายำกับ The Shining แล้วก็ปรุงอารมณ์น่ากลัวแบบ Paranormal Activity กับ Insidious อีกหน่อย ผลที่ได้ก็เลยค่อนข้างน่ากลัว กดดันสมใจคอหนังสยองครับ
แต่ถ้าให้ว่ากันตรงๆ กว่าน้้นอีกนิดก็อาจต้องบอกว่าแม้หนังจะสยอง มาพร้อมความมืด ตุ้งแช่ ปมลึกลับ และฉากจบแบบช็อคๆ แต่มันก็ไม่ได้ใหม่สดอะไรนักครับ สิ่งที่ถือว่าใหม่จริงๆ ก็คือการตีความมิสเตอร์บูกี้แมนในเวอร์ชั่นที่น่าสนใจดีครับ กับสิ่งที่มันทำกับเด็กๆ และผลที่ลงเอยในตอนจบ
ถือว่าสยอง ชวนขนลุก และสร้างความหลอนได้ไม่เลว แหม ปกติถ้าหนีออกจากบ้านที่มีปัญหามันก็น่าจะจบใช่ไหมครับ แต่นี่ดันกลายเป็นว่า… แม้ผมจะเดาจุดนี้ได้ แต่ก็ถือว่าเป็นการสรุปช็อกเรื่องราวแบบเข้าท่าดีเหมือนกัน