รีวิว Resident Evil Welcome to Raccoon City
หลังประกาศปิดตำนานแฟรนไชส์ ‘Resident Evil’ ไปกับภาค ‘Resident Evil The Final Chapter’ เมื่อปี 2016 คงไม่มีใครทันนึกได้ถึงวลีที่ว่า “ปิดตำนานก็คือยังทำต่ออยู่” เพราะด้วยตัวเลขรายได้มหาศาลที่แฟรนไชส์ทำเงินแบบไม่สนคำวิจารณ์ที่ต่ำเตี้ยลงทุกภาคก็มีส่วนทำให้โซนี พิคเจอร์ส (Sony Pictures)
ตัดสินใจรีบูตหนังขึ้นมาใหม่ด้วยการนำเรื่องราวของเกมภาค 1 และ 2 รวมถึงการนำตัวละครจากเกมที่ยังอยู่ในใจแฟน ๆ มาขึ้นจอโดยพยายามคงบรรยากาศของเกมต้นฉบับให้มากที่สุด
Resident Evil: Welcome to Raccoon City เป็นการหยิบเนื้อหาจากเกมส์ ภาคแรก และ ภาคสอง มาผสมกันมาเป็นหนังยาวเรื่องเดียว พร้อมยังได้หยิบเหตุการณ์สายพิษรั่วไหลลงแม่น้ำในสหรัฐอเมริกามาเป็นแรงบันดาลใจให้เรื่องนี้ด้วย แถมตัวหนังยังได้ตัวนักแสดงระดับเกรดเอ
อย่างคับคั่น อาทิเช่น Kaya Scodelario (จากเมซ รันเนอร์ และ Crawl คลานขย้ำ) , Avan Jogia (จาก Victorious และ Zombieland: Double Tap) , Hannah John-Kamen(จาก แอนท์-แมน และ เดอะ วอสพ์ และ Black Mirror: Playtest), Robbie Amell(จาก Code 8 และ The Babysitter ทั้งสองภาค) ,
Tom Hopper (จาก The Umbrella Academy และ The Hitman’s Wife’s Bodyguard) และ Neal McDonough (จาก กัปตันอเมริกา: อเวนเจอร์ที่ 1 และ คนอึดต้องกลับมาอึด 2) พร้อมยังได้ผู้กำกับสายสยองทุนต่ำขวัญใจมหาชนอย่าง โยฮันเนส โรเบิร์ตส์
ที่เคยสานต่อฝันร้ายของคนอยู่บ้านมาแล้วใน “The Strangers: Prey at Night คนแปลกหน้า ขอฆ่าหน่อยสิ!” และ ยังได้กำกับแฟรนไซส์ฉลามดิ่งนรกมาแล้วใน 47 Meters Down
เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ แคลร์ แรดฟิลด์ ที่ต้องกลับมาเมืองเรดคูน ซิตี้ ที่เคยเป็นฝันร้ายของเธอในตอนเด็กๆ เพื่อที่มาเตือนคริส แรดฟิลด์ พี่ชายของเธอ ว่าทางหน่วยองค์กรอัมเบรล่า ได้ปล่อยสารพิษลงน้ำไปอย่างลับๆ ทำให้ผู้คนในเมืองเกิดติดเซื้อจนกลายพันธุ์ซอมบี้กระหายเลือด
ทางเอาชีวิตรอดอย่างเดียวคือต้องพาหนีออกจะเมืองผีซีวะให้ได้ก่อนที่จะสายเกินแก้…
ก็อย่างว่าแหละ พอหลังจากเข้าฉายกระแสตอบรับเมืองนอกท่าจะไม่ดีเท่าที่ควรทั้งคำวิจารณ์และรายได้ทำเงิน แต่ก็ยังพอเอาใจคนดูทั่วไปอยู่บ้างพอสมควร ส่วนกระแสบ้านเราก็ยิ่งแล้วใหญ่ สับเละไม่เป็นชิ้นดี แต่พอไปดูด้วยตาของตัวเองในโรงแล้วเอ้าชอบเฉย ฮ่าๆ
สาเหตุที่ชอบก็ด้วยบรรยากาศของหนังที่ทำได้น่ากลัวใช้ได้เลย รวมทั้งความสยองของเหล่าซอมบี้และเหล่าอสูรกายชีวะภาพก็ถือว่าทำได้เคารพต้นฉบับดี โดยเฉพาะฉากหลังของสถานีตำรวจ กับ แมนชั่นสเปนเชอร์ คือสิ่งที่ดีที่สุดของหนังเลย
ส่วนด้านแคสนักแสดง ถึงแม้จะออกแบบถูกใจคอเกมบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง โดยรวมส่วนตัวก็ไม่ได้น่าเกลียดมากนัก อาจเพราะผมรู้จักและติดตามผลงานของทีมนักแสดงมาบ้างเลยแอบหวีดนิดๆ ต่างจากคอเกมที่แอนตี้ซักเท่าไร ฮ่าๆ ถ้าให้ถามว่าตัวละครไหนที่เหมือนเกมสุดก็มีแค่ แคลร์ กับ คริส (แสดงโดย Kaya Scodelario กับ Robbie Amell)
เท่านั้นแหละที่ตรงสเปคของเกมสุดแล้ว โดยเฉพาะตัวละครคริส ผมชอบมากๆ เราจะได้เห็นฉากเอาตัวรอดจากซอมบี้ของคริส ที่แฟนๆส่วนมากให้เสียงเดียวกันว่าเป็นฉากที่ดีที่สุดของเรื่องนี้เลยทีเดียว ส่วนตัวละครลีออง (แสดงโดย Avan Jogia) ที่ถูกแอนตี้กันหนักหนาว่าไม่เห็นเก่งเหมือนในเกมเลย
เผลอๆแย่กว่าเวอร์ชั่น พอล ดับบลิว.เอส. แอนเดอร์สัน ด้วยซ้ำ กระแสด้านลบแรงจนตัวนักแสดงเองต้องปิดไอจีหนีไปสักพักใหญ่ สำหรับผมจึงขอเถียงจากใจเลยว่าเวอร์ชั่นพอลแย่กว่าอีก มันดูปลอมและไม่เคารพตัวเกมเลย ถึงแม้ในเวอร์ชั่นนี้บทจะไม่ได้เก่งหรือดีมากซักเท่าไร
อย่างน้อยก็มันก็พอจะดูเรียลขึ้นมาบ้าง และทำให้เรารู้ว่าถ้าลีอองเป็นน้องใหม่มาทำงานมาเจอเพื่อนร่วมงานก่อนที่จะเกิดหรือไม่เกิดหายนะ คงโดนเพื่อนๆแกงหม้อใหญ่เหมือนที่เห็นในหนังนั่นแหละ ฮ่าๆ หนังแนะนำ
รีวิว Resident Evil Welcome to Raccoon City
หนังเริ่มเรื่องด้วยการแนะนำให้เราได้รู้จักกับคริสและแคลร์ เรดฟิล์ดพี่น้องที่ต้องอาศัยในบ้านเด็กกำพร้าเมืองแร็กคูนซิตี้ได้พบเหตุการณ์แปลกประหลาดบางอย่างและด้วยเหตุการณ์บางอย่างก็ทำให้แคลร์ต้องหนีออกจากแร็กคูนซิตี้ ก่อนที่เหตุการณ์จะตัดไปในปี 1998 ที่แคลร์ (รับบทโดย คายา สโคเดลาริโอ Kaya Scodelario)
ได้โบกรถกลับมายังแร็กคูนซิตี้ ระหว่างทางนั้นเองที่รถบรรทุกที่เธอขอโดยสารชนเข้ากับหญิงสาวรายหนึ่งอย่างจังแต่พอลงไปดูก็พบว่าบนท้องถนนกลับว่างเปล่า
และเมื่อมาถึงเมืองแร็กคูนซิตี้เราก็พบว่าแท้จริงแล้ว แคลร์ได้เดินทางกลับมาหาคริส (รับบทโดย รอบบี เอเมล Robbie Amell) พี่ชายนายตำรวจของเธอเพื่อนำความจริงเรื่องอัมเบรลลา คอร์เพอเรชัน (Umbrella Corporation) แอบปนเปื้อนสารพิษในน้ำประปาของประชาชนจนเป็นสาเหตุของโรคระบาดบางอย่างที่กำลังจะเปลี่ยนคนให้กลายเป็นอสุรกาย
แต่ก็เหมือนคริสจะไม่สนใจและเดินทางไปยังสถานีตำรวจเพื่อสมทบกับ จิล วาเลนไทน์ (รับบทโดย ฮันนาห์ จอห์น คาเมน Hannah John-Kamen) ตำรวจสาวห้าวที่เขาแอบมีใจให้ แต่วาเลนไทน์กลับมีใจให้เพียงแค่ อัลเบิร์ต เวสเกอร์ (รับบทโดยทอม ฮอปเพอร์ Tom Hopper)
ตำรวจหนุ่มล่ำสุดขรึม และยังมี ลีออน เอส เคนเนดี (รับบทโดย เอวาน โจเกีย Avan Jogia) ตำรวจหน้าใหม่ที่ต้องมารับมือกับสถานการณ์นรกแตกในแร็กคูนซิตี และเป็นแคลร์ เรดฟิล์ดที่อาจไขความลับอันดำมืดด้วยอดีตอันโหดร้ายก่อนที่พวกเขาจะต้องหนีตายจากการล้างบางเมืองต้องคำสาปอย่างแร็กคูนซิตี้แห่งนี้
ส่วนในด้านข้อเสียของหนังในความรู้สึกส่วนตัวคิดว่าสิ่งที่ต้องปรับปรุงคือด้านบทที่เอาเกมสองภาคแรกมารวมกันกลับยังไม่ขยี้มากพอ คิดว่าควรทำเป็นภาคยาวเป็นแนวเดียวกันเป็นเฉพาะตัวน่าจะดีกว่า การที่เอาสองภาคมารวมกันแล้วแต่ละภาคแนวของเกมจะแตกต่างกันมากภาคแรกจะมาแนวสยองขวัญไขปริศนาและเอาตัวรอด
ส่วนภาคสองจะมาแนวแอ็คชั่นระทึกขวัญ พอมารวมกันเลยดูขึ้นๆลงๆไม่กลมกล่อมสักเท่าไรนัก
อาจเพราะทางค่ายให้ทำเป็นหนังทุนต่ำด้วย มันทำให้เมืองแรดคูนที่จากเป็นเมืองใหญ่ๆที่เราเห็นจากในเกมและหนังเวอร์ชั่นพอล กลายเป็นเมืองชนบทเล็กๆแทน เหล่าอสูรกายที่ออกแบบเหมือนเกมได้ดีกลับทำซีจีออกมาลอยได้น่าเสียดายและเหมือนจะใช้ได้ไม่คุ้มเท่าที่ควร
ความรู้สึกหลังดู
ความจริงแล้วด้วยชื่อของ โยฮันเนส โรเบิร์ตส์ (Johannes Roberts) ไม่ใช่ชื่อที่ขี้เหร่เลยนะสำหรับการมาสานต่อตำนานบทใหม่ของ ‘ผีชีวะ’ คราวนี้และการที่โรเบิร์ตส์ลงมือจรดปากกาเขียนบทเองเหมือนทุกครั้งอย่างน้อยก็มั่นใจว่าเราจะได้เห็นซีนซอมบี้ผีดิบน่ากลัว ๆ
หรือลุ้นจนอกแทบตายคล้าย ๆ กับงานสร้างชื่ออย่างหนังเชือดโคตรระทึก ‘Strangers Prey at Night’ หรือหนังฉลามสุดกดดันอย่าง ’47 Meters Down’ ซึ่งผลลัพธ์ก็ต้องยอมรับล่ะว่าการพยายามกลับไปหาเนื้อเรื่องเกมต้นฉบับและอิงรายละเอียดจากเกมฉบับรีเมกช่วยสร้างบรรยากาศที่ดูน่ากลัวขึ้นมาได้จริง ๆ
แต่ทุกอย่างก็ค่อย ๆ พังครืนด้วยการที่โรเบิร์ตส์พยายามยัดทุกอย่างเพื่อเอาใจแฟนเกมลงในหนัง ลำพังแค่ฉากที่แคลร์เจอศพแอบวิ่งหนีเธอก็ชวนส่ายหัวจนอยากหาพารามาบรรเทาอาการจะแย่อยู่แล้ว ยิ่งหนังเดินเรื่องไปเราก็พบว่ามันพยายามผูกปมมากขึ้นเรื่อย ๆ
ทั้งปมการหนีออกจากแร็กคูนซิตี้จากแคลร์ หรือการที่คริสเองถูกเลี้ยงมาโดย วิลเลียม เบอร์กิน (รับบทโดย นีล แมคโดนาฟ Neal McDonough) นักวิทยาศาสตร์ที่เคยเกือบพรากชีวิตแคลร์ในวัยเด็ก ไปจนถึงปมสุดอีรุงตุงนังที่หนังไม่สนใจจะคลี่คลายมันสักเท่าไหร่
และเมื่อปมเริ่มเยอะขึ้น ซ้อนทับขึ้น คนทำหนังก็กลับตัดมันทิ้งแบบไม่เหลือเยื่อใยแล้วยัดเยียดฉากหนีซอมบี้เข้ามากลบเกลื่อนพล็อตที่มีแต่รูโหว่เต็มไปหมดได้ไม่ค่อยแนบเนียบเท่าไหร่จนผลลัพธ์ของมันคือการกลายเป็นหนังซอมบี้จากเกมที่เหมือนจำลองฉากมาต่อ ๆ กัน ซึ่งแม้จะสร้างความบันเทิงได้ชั่วครั้งชั่วคราวแต่จบแล้วก็พร้อมจะลืมในทันที
อีกจุดที่ต้องพูดถึงคือการที่หนังได้ทุนสร้างเพียง 33 ล้านเหรียญทำให้ความตั้งใจที่จะเนรมิตรทุกอย่างให้เหมือนภาพในเกมกลายเป็นหายนะอย่างช่วยไม่ได้เพราะมันทำได้เพียงผิวหน้าเท่านั้นทั้งฉากโรงพักเมืองแร็กคูนหรือคฤหาสน์สเปนเซอร์ และผลของมันยังทำให้ซีจีที่ควรจะแนบเนียนกลายเป็นงานถอยหลังเข้าคลองที่บางทีแล้วหนังปี 2002 ยังดูดีเสียกว่า นอกจากนี้พลังของนักแสดงก็ยังไม่มากพอจะทำให้คนดูอยากเอาใจช่วยนักเพราะตัวละครพวกเขาแบนราบไร้มิติเสียเหลือเกิน
หากผู้สร้างคิดจะเริ่มแฟรนไชส์ใหม่ก็บอกเลยว่ายังเป็นจุดเริ่มต้นที่ห่างชั้นจาก ‘Resident Evil’ ปี 2002 ที่ภาพของอลิซตื่นขึ้นมาในเมืองแร็กคูนซิตี้ร้างยังคงความหลอกหลอนและสร้างภาพจำให้หนังได้มากกว่าหนังภาคนี้ทั้งเรื่องเสียอีก
สรุป – Resident Evil: Welcome to Raccoon City ถึงแม้หนังจะเต็มไปด้วยกระแสแง่ลบหรือข้อเสียอีกมากมาย ยังดีที่ โยฮันเนส โรเบิร์ตส์ เขาทำออกแบบฉากสยองขวัญได้ดีอยู่แล้วบวกกับความพยายามทำหนังให้เหมือนเกมส์ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมโอเคกับหนังมากพอสมควร
ปีที่ออกอากาศ : ค.ศ. 2021
ประเภท : ภาพยนตร์แอ็คชั่นสยองขวัญ
ผู้กำกับ : โยฮันเนส โรเบิร์ตส์
นักแสดง : คายา สโคเดลาริโอ, อวาน โจเกีย, แฮนนาห์ จอห์น-คาเมน, ร็อบบี้ อเมล, ทอม ฮอปเปอร์, นีล แมคโดโนห์
ช่องทางการรับชม : โรงภาพยนตร์
ภาษาและเสียงในการรับชม : EN/TH
ระดับความเหมาะสม : อายุ 18+