รีวิว Midsommar – เทศกาลสยอง
สวัสดีจ้าวันนี้แอดจะมารีวิวหนังเรื่อง รีวิว Midsommar – เทศกาลสยอง บอกเล่าเรื่องราวของ ดานี่ และ คริสเตียน คู่รักที่เดินทางมายังประเทศสวีเดนตามคำชักชวนของเพื่อนร่วมมหา’ลัย ที่นั่นพวกเขาและเพื่อนๆ วางแผนที่จะไปเที่ยวเทศกาลเฉลิมฉลองฤดูร้อนในหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลและร้างไร้ผู้คน เทศกาลนี้จะจัดขึ้นเพียง1ครั้งในรอบ 90 ปี เป็นเวลา 9 วัน และเป็น 9 วันที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน แต่ยิ่งพวกเขาคลุกคลีอยู่กับดินแดนที่เหมือนจะสดใสแห่งนี้เท่าไร ก็ยิ่งค้นพบเรื่องราวสุดแปลกประหลาด และชวนขนหัวลุกขึ้นเรื่อยๆ และกว่าจะรู้ตัวก็แทบจะสายเกินไป
ผลงานความสยองของผู้กำกับ แอรี แอสเตอร์ ที่เคยฝากผลงานสะเทือนขวัญผู้ชมมาแล้ว Hereditary ที่มาคราวนี้ได้หยิบยกเอาเรื่องราวความเชื่อเรื่องลัทธิที่คนทั่วไปไม่เข้าใจก็ทำให้รู้สึกลึกลับและน่าค้นหา และยิ่งเพิ่มความท้าทายขึ้นไปอีกระดับด้วยการตัดความมืดออกจากเรื่องไม่มีปิดบังเปิดไฟสว่างให้เห็นกันไปเลย เสียงดนตรีประกอบในเรื่องก็คอยกระตุ้นโสตประสาทหูก็ช่วนบิ้วอารมณ์ความหลอนได้เป็นอย่างดี
แต่สำหรับผู้ชมที่คิดว่าจะได้สัมผัสความโหดสยองแบบรัวๆ ต้องบอกเลยว่าคุณอาจผิดหวังกับภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะตลอดทั้งเรื่องผู้ชมแทบจะไม่ได้เจอฉากระทึกขวัญเลยแต่การกระทำของตัวละคร บรรยากาศ เสียง จะบิ๊วอารมณ์ไปสู้ความหลอนแบบระเบิดลงตูมเดียวจบ
จากการตีความเริ่มเรื่องดานี่สาวที่มีอาการทางจิต เธอจึงชอบที่จะพึ่งพา คริสเตียน แฟนหนุ่ม จากชื่อขอแฟนหนุ่มก็ได้ไปสอดคร้องกับศาสนาคริสเปรียบได้ว่านางเอกได้ใช้ศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่เมื่อครอบครัวของเธอได้ฆ่าตัวตายหมู่กันในบ้าน ทำให้เธอได้ดำดิ่งลงไปกับความเศร้า จนกระทั่งได้มีพระเอกและเพื่อนได้ชักชวนไปท่องเที่ยวเทศกาลที่สวีเดนก็ได้รู้จักกับลัทธิประหลาดในพื้นที่ๆมีความเชื่อในพลังของธรรมชาติ โดยสุดท้ายเธอต้องเลือกว่าสิ่งไหนกันแน่ที่จะช่วยให้เธอหลุดพ้นความทุกข์นี้ ก็เป็นการเล่นประเด็นเชิงสัญลักษณ์ได้อย่างน่าสนใจ
Midsommar – เทศกาลสยอง อาจไม่ใช่ภาพยนตร์ระทึกขวัญที่เหมาะกับทุกคน ถ้าคุณเป็นคอหนังสายโหดที่ต้องการดูฉากระทึกขวัญแบบรัวๆ ก็ให้ข้ามภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ไปได้เลย แต่ถ้าคุณอยากดูหนังระทึกความแนวใหม่ที่มีทั้งความหลอนที่มาพร้อมกับความอาร์ต ก็ลองเปิดใจเข้าไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้คะแนนจากเราไป ??/10 (ของดให้คะแนน)
Midsommar– เทศกาลสยอง (2019) คือผลงานเรื่องล่าสุดของ Ari Aster ผู้กำกับและนักเขียนบทที่สร้างชื่อจาก Hereditary– กรรมพันธุ์นรก (2018)
เรื่อง Hereditary บอกเล่าเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งที่สูญเสียลูกคนหนึ่งไปอย่างน่าสลดสยดสยอง แต่สิ่งที่ตามมาหลอกหลอนผู้เป็นแม่และทุกคนในครอบครัวนั้นน่าสยดสยองยิ่งกว่า โดยบรรยากาศของเรื่องนี้จะดาร์ก ๆ หม่น ๆ และชวนสยองขวัญอย่างชัดเจน
ส่วน Midsommar สร้างบรรยากาศที่แตกต่างออกไป หนังเล่าเรื่องของ Dani (Florence Pugh จาก Fighting with My Family) ที่เพิ่งสูญเสียสมาชิกในครอบครัวไป และขอติดตามแฟนหนุ่มของเธอ Christian (Jack Reynor จาก Sing Street) ร่วมด้วยเพื่อน ๆ ในกลุ่ม ได้แก่ Pelle (Vilhelm Blomgren), Josh (William Jackson Harper), และ Mark (Will Poulter จาก The Maze Runner) ไปสวีเดนด้วย
จุดประสงค์หลักของทริปนี้คือ พวกหนุ่ม ๆ ไปเพื่อหาข้อมูลทำ thesis ป.โท ที่ชุมชน Hårga ซึ่งเป็นบ้านของ Pelle และกำลังจะมีเทศกาลพิเศษที่จัดทุก ๆ 90 ปีด้วยพอดี โดยไม่มีใครคาดฝันว่าจะได้เจอกับประสบการณ์สยดสยอง 20+ (ชนิดแบบต้องตรวจบัตรประชาชน) ซึ่ง contrast กับบรรยากาศที่สว่างสดใสโดยสิ้นเชิง
รีวิว Midsommar – เทศกาลสยอง
ส่วนประเด็นหลัก ๆ ของหนังสยองขวัญเรื่องนี้ก็คือ “ความรัก/ความสัมพันธ์” โดยเริ่มเรื่องเราจะเห็นได้ว่า Dani กับ Christian ระหองระแหงกันและใกล้จะเลิกกันเต็มแก่ แต่เกิดโศกนาฏกรรมในครอบครัวของ Dani ขึ้นก่อน ทำให้ Christian ไม่สามารถบอกเลิกกับ Dani ได้ และจำต้องให้เธอไปสวีเดนด้วย
การสูญเสียครอบครัวทำให้ Dani กลายเป็นตัวคนเดียว และ Christian ก็ไม่สามารถทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นหรือ “feel like home” ด้วยได้ เพราะ Christian เป็นแฟนที่ดูไม่ค่อยเอาใจใส่ แม้แต่วันเกิดของแฟนก็ลืม หรือจำนวนปีที่คบหากันมาก็จำไม่ได้ เพื่อน ๆ ของ Christian โดยเฉพาะ Mark ก็ดูไม่ค่อยต้อนรับเธอ เธอรู้สึกเป็นคนนอกเมื่ออยู่กับ Christian และกลุ่มเพื่อนของเขา จะมีก็แต่ Pelle ที่พอจะเป็นมิตรกับเธอบ้าง
ที่ชุมชน Hårga ของ Pelle ทุกคนอยู่กันเหมือนครอบครัว แชร์กันทุกอย่าง ตั้งแต่ที่พักอาศัย อาหาร จนไปถึงอารมณ์ความรู้สึก เช่น ถ้าคนนึงเศร้า คนอื่น ๆ ก็จะมาสุมหัวกันร้องไห้ตามกันไปด้วย ซึ่ง Dani ไม่เคยมีใครสนใจความรู้สึกของเธอแบบนี้มาก่อน ไม่ว่าจะจากครอบครัวหรือจากคนรักของเธอ
นอกจากนี้ ชุมชน Hårga จะมีขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมในแบบฉบับของเขา เช่น ชีวิตของคนในชุมชน Hårga ใน 1 วัฏจักรถูกแบ่งออกเป็น 4 ฤดู ฤดูละ 18 ปี คือ spring (แรกเกิด-18 ปี), summer (อายุ 18-36 ปี), fall (36-54 ปี), และ winter (54-72 ปี) ซึ่งฤดูหรืออายุของพวกเขาจะเป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตของพวกเขาด้วย
เราจะได้ติดตามชีวิตของประชากรชุมชนนี้ผ่านมุมมองของกลุ่มตัวละครหลักซึ่งเป็นคนนอกของชุมชน ส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกันและอังกฤษ พวกเขาเหล่านี้เป็นเสมือนตัวแทนของคนดูอย่างเรา คือเดินเข้าไปงง ๆ ใช้ชีวิตแต่ละวันที่ชุมชนนั้นอย่างงง ๆ เป็นวัน ๆ ไป อยู่แบบไม่รู้อะไรเลยว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น
สำหรับคนเมืองแต่กำเนิดอย่างพวกเราย่อมตัดสินตั้งแต่ต้นอยู่แล้วว่า ชุมชน Hårga มีธรรมเนียมที่วิปริตวิปลาศและไร้อารยธรรม แต่ถ้ามองจากมุมของเขา เขาก็อาจจะมองว่าวิถีชีวิตคนเมืองอย่างเรา ๆ มันโหดร้ายยิ่งกว่าของเขาก็ได้ หรือถ้าจะมองในแง่มุมดี ๆ ชาว Hårgan ก็ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง และช่วยควบคุมจำนวนประชากร ทั้งปริมาณและคุณภาพ
ความหายนะของชาวต่างถิ่นในเรื่องค่อย ๆ บังเกิดขึ้นเมื่อเริ่มลบหลู่ รุกล้ำ และล้ำเส้นขนบของชาว Hårgan (จริง ๆ ต่อให้มาอยู่เฉย ๆ สุดท้ายก็คงไม่รอดจากหายนะอยู่ดี) เช่น ตัวละคร Mark เป็นคนที่พูดจาไม่ค่อยเข้าหูคนและไม่รู้จักกาลเทศะ คิดจะทำคิดจะพูดอะไรตามใจฉัน แถมยังหมกหมุ่นกับเรื่องผู้หญิง ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็เจอของดีเข้าให้ อย่างไรก็ตาม Mark เนี่ยเป็นตัวละครสร้างสีสันตัวหนึ่งของเรื่องเลย แค่เขาอ้าปากพูดทีไร ก็ทำให้คนในโรงขำได้แทบทุกที (นึกถึงสมัย Will เล่น Narnia เมื่อเก้าปีที่แล้ว)
แน่นอนว่า เราเตรียมใจกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชุมชนนั้นไว้มากกว่าตัวละครหลักในหนังอยู่แล้ว เพราะเรารู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าจะมีฉาก 20+ ไม่ว่าจะฉากเซ็กส์ ฉากโป๊เปลือย ฉากเละ ๆ เหวอะ ๆ หรือฉากรุนแรงต่าง ๆ เราก็แค่รอเวลาว่าฉากแบบนั้นมันจะโผล่มาให้เห็นเมื่อไหร่
แต่ถึงแม้จะทำใจมาระดับหนึ่งแล้ว ฉากเหล่านั้นมันก็ไม่ได้มีมาถี่ ๆ จนประสาทกิน และก็รู้สึกว่าภาพไม่ติดตาเท่ากับจากเรื่อง Suspiria แต่แต่ละฉาก 20+ ของ Midsommar ก็ทำเราหน้าเหยเก อึดอัด กระอักกระอ่วน และหายใจไม่ทั่วท้องอยู่ไม่น้อย ดูไปก็ร้อง WTF ไปเช่นกัน
ความรู้สึกหลังดู
Midsommar– เทศกาลสยอง (2019) คือผลงานเรื่องล่าสุดของ Ari Aster ผู้กำกับและนักเขียนบทที่สร้างชื่อจาก Hereditary– กรรมพันธุ์นรก (2018)
เรื่อง Hereditary บอกเล่าเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งที่สูญเสียลูกคนหนึ่งไปอย่างน่าสลดสยดสยอง แต่สิ่งที่ตามมาหลอกหลอนผู้เป็นแม่และทุกคนในครอบครัวนั้นน่าสยดสยองยิ่งกว่า โดยบรรยากาศของเรื่องนี้จะดาร์ก ๆ หม่น ๆ และชวนสยองขวัญอย่างชัดเจน
ส่วน Midsommar สร้างบรรยากาศที่แตกต่างออกไป หนังเล่าเรื่องของ Dani (Florence Pugh จาก Fighting with My Family) ที่เพิ่งสูญเสียสมาชิกในครอบครัวไป และขอติดตามแฟนหนุ่มของเธอ Christian (Jack Reynor จาก Sing Street) ร่วมด้วยเพื่อน ๆ ในกลุ่ม ได้แก่ Pelle (Vilhelm Blomgren), Josh (William Jackson Harper), และ Mark (Will Poulter จาก The Maze Runner) ไปสวีเดนด้วย
จุดประสงค์หลักของทริปนี้คือ พวกหนุ่ม ๆ ไปเพื่อหาข้อมูลทำ thesis ป.โท ที่ชุมชน Hårga ซึ่งเป็นบ้านของ Pelle และกำลังจะมีเทศกาลพิเศษที่จัดทุก ๆ 90 ปีด้วยพอดี โดยไม่มีใครคาดฝันว่าจะได้เจอกับประสบการณ์สยดสยอง 20+ (ชนิดแบบต้องตรวจบัตรประชาชน) ซึ่ง contrast กับบรรยากาศที่สว่างสดใสโดยสิ้นเชิง
ส่วนประเด็นหลัก ๆ ของหนังสยองขวัญเรื่องนี้ก็คือ “ความรัก/ความสัมพันธ์” โดยเริ่มเรื่องเราจะเห็นได้ว่า Dani กับ Christian ระหองระแหงกันและใกล้จะเลิกกันเต็มแก่ แต่เกิดโศกนาฏกรรมในครอบครัวของ Dani ขึ้นก่อน ทำให้ Christian ไม่สามารถบอกเลิกกับ Dani ได้ และจำต้องให้เธอไปสวีเดนด้วย
การสูญเสียครอบครัวทำให้ Dani กลายเป็นตัวคนเดียว และ Christian ก็ไม่สามารถทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นหรือ “feel like home” ด้วยได้ เพราะ Christian เป็นแฟนที่ดูไม่ค่อยเอาใจใส่ แม้แต่วันเกิดของแฟนก็ลืม หรือจำนวนปีที่คบหากันมาก็จำไม่ได้ เพื่อน ๆ ของ Christian โดยเฉพาะ Mark ก็ดูไม่ค่อยต้อนรับเธอ เธอรู้สึกเป็นคนนอกเมื่ออยู่กับ Christian และกลุ่มเพื่อนของเขา จะมีก็แต่ Pelle ที่พอจะเป็นมิตรกับเธอบ้าง
ที่ชุมชน Hårga ของ Pelle ทุกคนอยู่กันเหมือนครอบครัว แชร์กันทุกอย่าง ตั้งแต่ที่พักอาศัย อาหาร จนไปถึงอารมณ์ความรู้สึก เช่น ถ้าคนนึงเศร้า คนอื่น ๆ ก็จะมาสุมหัวกันร้องไห้ตามกันไปด้วย ซึ่ง Dani ไม่เคยมีใครสนใจความรู้สึกของเธอแบบนี้มาก่อน ไม่ว่าจะจากครอบครัวหรือจากคนรักของเธอ
นอกจากนี้ ชุมชน Hårga จะมีขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมในแบบฉบับของเขา เช่น ชีวิตของคนในชุมชน Hårga ใน 1 วัฏจักรถูกแบ่งออกเป็น 4 ฤดู ฤดูละ 18 ปี คือ spring (แรกเกิด-18 ปี), summer (อายุ 18-36 ปี), fall (36-54 ปี), และ winter (54-72 ปี) ซึ่งฤดูหรืออายุของพวกเขาจะเป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตของพวกเขาด้วย
เราจะได้ติดตามชีวิตของประชากรชุมชนนี้ผ่านมุมมองของกลุ่มตัวละครหลักซึ่งเป็นคนนอกของชุมชน ส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกันและอังกฤษ พวกเขาเหล่านี้เป็นเสมือนตัวแทนของคนดูอย่างเรา คือเดินเข้าไปงง ๆ ใช้ชีวิตแต่ละวันที่ชุมชนนั้นอย่างงง ๆ เป็นวัน ๆ ไป อยู่แบบไม่รู้อะไรเลยว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น
สำหรับคนเมืองแต่กำเนิดอย่างพวกเราย่อมตัดสินตั้งแต่ต้นอยู่แล้วว่า ชุมชน Hårga มีธรรมเนียมที่วิปริตวิปลาศและไร้อารยธรรม แต่ถ้ามองจากมุมของเขา เขาก็อาจจะมองว่าวิถีชีวิตคนเมืองอย่างเรา ๆ มันโหดร้ายยิ่งกว่าของเขาก็ได้ หรือถ้าจะมองในแง่มุมดี ๆ ชาว Hårgan ก็ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง และช่วยควบคุมจำนวนประชากร ทั้งปริมาณและคุณภาพ
ความหายนะของชาวต่างถิ่นในเรื่องค่อย ๆ บังเกิดขึ้นเมื่อเริ่มลบหลู่ รุกล้ำ และล้ำเส้นขนบของชาว Hårgan (จริง ๆ ต่อให้มาอยู่เฉย ๆ สุดท้ายก็คงไม่รอดจากหายนะอยู่ดี) เช่น ตัวละคร Mark เป็นคนที่พูดจาไม่ค่อยเข้าหูคนและไม่รู้จักกาลเทศะ คิดจะทำคิดจะพูดอะไรตามใจฉัน แถมยังหมกหมุ่นกับเรื่องผู้หญิง ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็เจอของดีเข้าให้ อย่างไรก็ตาม Mark เนี่ยเป็นตัวละครสร้างสีสันตัวหนึ่งของเรื่องเลย แค่เขาอ้าปากพูดทีไร ก็ทำให้คนในโรงขำได้แทบทุกที (นึกถึงสมัย Will เล่น Narnia เมื่อเก้าปีที่แล้ว)
แน่นอนว่า เราเตรียมใจกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชุมชนนั้นไว้มากกว่าตัวละครหลักในหนังอยู่แล้ว เพราะเรารู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าจะมีฉาก 20+ ไม่ว่าจะฉากเซ็กส์ ฉากโป๊เปลือย ฉากเละ ๆ เหวอะ ๆ หรือฉากรุนแรงต่าง ๆ เราก็แค่รอเวลาว่าฉากแบบนั้นมันจะโผล่มาให้เห็นเมื่อไหร่
แต่ถึงแม้จะทำใจมาระดับหนึ่งแล้ว ฉากเหล่านั้นมันก็ไม่ได้มีมาถี่ ๆ จนประสาทกิน และก็รู้สึกว่าภาพไม่ติดตาเท่ากับจากเรื่อง Suspiria แต่แต่ละฉาก 20+ ของ Midsommar ก็ทำเราหน้าเหยเก อึดอัด กระอักกระอ่วน และหายใจไม่ทั่วท้องอยู่ไม่น้อย ดูไปก็ร้อง WTF ไปเช่นกัน
Ari Aster ผู้อยู่เบื้องหลังความ WTF ทั้งหลายทั้งปวงป่วง ๆ ใน Midsommar เค้ามีความตั้งใจอยากจะให้คนดูมีความอยากรู้อยากเห็น เหวอแดก และสับสนมึนงงกับหนัง คาดเดาไม่ได้ ซึ่งเราคิดว่าเค้าทำสำเร็จ เช่นเดียวกับที่เค้าสร้างความสยดสยองในรูปแบบใหม่สำเร็จด้วย ต้องขอชื่นชมความทะเยอทะยานในการทำหนังของ Ari Aster ในส่วนของการสร้างบรรยากาศของหนัง และงานภาพในหนังก็สวยมากจริง ๆุ
เรามีความเข้าใจเกี่ยวกับหนังมันน้อยไป จับต้องสิ่งที่เค้าต้องการจะสื่อได้อย่างเบาบาง เก๊ตแค่ประเด็นหลัก ๆ คือเรื่องของความสัมพันธ์ แต่หนังมันจะมีสัญลักษณ์แฝงในรูปวาดหรืองานศิลปะในหนังด้วย ซึ่งมันไม่ง่ายเลยในการตีความ
และต้องบอกว่าหนังแนว Midsommar โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของหนัง ที่ผสมกับลัทธิใดใด เช่น Suspiria หรือ Mother! ไม่ใช่หนังใน type ของเราสักเท่าไหร่ ยังดีที่ Midsommar มีส่วนช่วยเบาสมองอยู่บ้างเล็กน้อย จึงไม่หนักเท่า Suspiria และ Mother!
ถ้าถามว่าชอบผลงานของ Ari Aster เรื่องไหนมากกว่ากัน ระหว่าง Midsommar กับ Hereditary เราชอบ Hereditary มากกว่าอย่างไม่มีเหตุผลที่เป็นรูปธรรม แต่ก็แล้วแต่คนนะ… คุณอาจจะชอบ Midsommar มากกว่า จนถึงขั้นชอบมาก หรืออาจจะไม่ชอบหนังมันเลยก็ได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง