รีวิว Fantastic Beasts The Crimes of Grindelwald (2018)
สวัสดีจ้าวันนี้แอดจะมารีวิวหนังเรื่อง Fantastic Beasts The Crimes of Grindelwald (2018) อาชญากรรมของกรินเดลวัลด์ มาถึงภาคที่ 2 แล้วกับแฟรนไชส์ Fantastic Beasts ที่ เจ.เค. โรว์ลิ่ง ผู้ประพันธ์วางแผนไว้ว่าจะจบใน 5 ภาค หลังจากภาคแรกเธอได้ดึงตัวละคร นิวท์ สคาแมนเดอร์ บุรุษในตำนานที่ถูกกล่าวถึงไว้ในแฟรนไชส์
แฮร์รี่ พอตเตอร์ ให้ออกมามีตัวตนบนจอภาพยนตร์ในฐานะพ่อมดผู้ชื่นชอบในบรรดาสัตว์มหัศจรรย์และเดินทางรวบรวมศึกษามันไปทั่วโลก จนกลายมาเป็นหนังสือเรียนที่นักเรียนฮอกวอตส์ทุกคนรู้จักกันดี หนังเปิดภาคแรกมาด้วยบรรยากาศสดใสอารมณ์ดี ได้รู้จักตัวตนของนิวท์ เป็นพ่อมดที่เก่งแต่อ่อนน้อมถ่อมตนขี้อาย
ได้รู้จักสังคมพ่อมดทางฝั่งอเมริกา แต่ก็จบด้วยการปรากฏตัวของกรินเดลวอลด์พ่อมดร้ายในตำนาน และการโผล่มาเซอร์ไพรส์คนดูของจอห์นนี่ เด็ปป์
มาถึงภาค 2 หนังสานต่อเหตุการณ์จากภาคแรกทันที เมื่อกรินเดลวัลด์โดนควบคุมตัวโดยเหล่ามือปราบมารอย่างเข้มงวดรัดกุม แต่ด้วยความเป็นพ่อมดร้ายอันดับ 1 ในยุคนั้นมีหรือจะยอมจำนนง่าย ๆ กรินเดลวัลด์ก็หลบหนีได้อย่างไม่ยากเย็นเปิดโอกาสให้หนังใส่ฉากแอ็คชั่นระทึกตาตั้งแต่เปิดเรื่อง เมื่อกรินเดลวอลด์ปรากฏตัว
โทนของหนัง Fantastic Beasts ก็ดูเปลี่ยนไปในทันที โทนหนังตึงเครียดขึ้นอย่างชัดเจน แม้ว่าชื่อเรื่องจะว่าด้วยบรรดาเหล่าสัตว์มหัศจรรย์แต่ประเด็นของหนังย้ายไปเน้นหนักที่สงครามเวทมนตร์ระหว่าง 2 สุดยอดพ่อมดในยุคนั้น อัลบัส ดัมเบิลดอร์ และ กรินเดลวอลด์ ที่เจ.เค. เกริ่นมาแล้วว่าตลอด 5 ภาคของ Fantastic Beasts จะเล่าเรื่องราวสงครามของ 2 ผู้ยิ่งใหญ่นี้ที่กินเวลา 19 ปี
ในภาคนี้เส้นเรื่องหลัก คือการขึ้นเถลิงอำนาจในฐานะพ่อมดโลกมืดของกรินเดลวอลด์ที่รวบรวมสมัครพรรคพวกมากมาย แต่เป้าหมายของเขาคือ ครีเซนด์ เด็กหนุ่มจากภาคแรกที่มีพลังมืดสิงสู่อยู่ในตัว ทำให้กรินเดลวอลด์ต้องการดึงมาเป็นกำลังสำคัญของเขา ทางมือปราบมารรู้ถึงแผนการของกรินเดลวอลด์จึงมุ่งมั่นตามกำจัดครีเดนซ์เสียก่อนที่
กรินเดลวอลด์จะได้ตัวไป ในภาคแรกตัวละครก็มากพอดูแล้ว ในภาคต่อนี้ตัวละครจากภาคแรกกลับมาเกือบครบ แล้วยังเพิ่มตัวละครใหม่อีกมากเลตา เลสเตรงจ์ เพื่อนสาวที่มีอดีตผูกพันกับนิวท์ , ธีซีอุส พี่ชายของนิวท์ทำงานอยู่ในกระทรวงเวทมนตร์ , อัลบัส ดัมเบิลดอร์ในวัยหนุ่ม , นิโคลาส ฟลาเมล นักเล่นแร่แปรธาตุที่เคยถูกพูดถึงใน
Harry Potter and the Philosopher’s Stone หนังภาคแรก นิโคลาสเป็นคนแก่ที่น่ารักและเรียกเสียงหัวเราะได้มาก แถมยังมีฉากโชว์เท่ของตัวเองด้วย และ นากินี งูยักษ์ที่รู้จักกันดีว่าเป็นสัตว์เลี้ยงคู่กายของโวลเดอร์มอต ภาคนี้เธอปรากฏตัวร่างหญิงสาวสวยที่ชวนติดตามว่าเธอไปพัวพันกับโวลเดอร์มอตได้อย่างไร
รวมถึง กิลเลิร์ต กรินเดลวอลด์ ที่ภาคนี้เปิดเผยตัวเองเต็มตัวทำให้เป็นตัวละครหลักที่ได้เวลาปรากฏตัวบนจอมามากพอควรสำหรับหนังที่มีตัวละครแออัดกันขนาดนี้ ดูแล้วชื่นชมจอห์นนี่ เด็ปป์ครับ ที่สลัดภาพพระเอกตลอดกาล มาเป็นผู้ร้ายได้อย่างสนิทใจ จับจอห์นนี่มาย้อมผม หนวดเคราสีขาว ใส่คอนแทคเลนส์สีขาวข้างเดียว
ทำให้จอห์นนี่ เด็ปป์ เป็นกรินเดลวอลด์ที่น่ากลัวและเกรงขามสมศักดิ์ศรีพ่อมดร้ายในตำนาน เอาว่าแค่ยืนเฉย ๆ ก็สัมผัสได้ถึงความร้ายกาจแล้ว ในขณะที่กรินเดลวอลด์มีบทบาทมากขึ้น พระเอกอย่างนิวท์ กลับถูกลดบทบาทความสำคัญอย่างเห็นได้ชัดเพราะต้องแบ่งเวลาให้กับตัวละครอีกมากที่ล้วนมีส่วนสำคัญกับเนื้อหาในภาคนี้
ตัวละครเก่าก็มากแถมเพิ่มตัวละครใหม่ที่ส่วนสำคัญกับเนื้อหาอีกหลายตัว ทำให้ 2 ชั่วโมง 14 นาทีของหนังต้องเล่าเรื่องราวมากมาย ความสัมพันธ์ที่ดูจะคืบหน้าของนิวท์และทีน่า , พื้นเพความสัมพันธ์ในอดีตกาลของดัมเบิลดอร์ และ กรินเดลวอลด์ที่เป็นสาเหตุของความบาดหมางในปัจจุบันที่เกริ่น ๆ ไว้แต่ยังไม่เล่าชัดเจน และ อดีตของเลตา และ
นิวท์ ในช่วงที่เรียนฮอกวอตส์ ทำให้เราต้องดู The Crimes of Grindelwald แบบต้องเรียบเรียงสมองให้เข้าใจถึง 3 ช่วงเหตุการณ์ของจักรวาลแฮร์รี่ พอตเตอร์ เหตุการณ์ปัจจุบันในหนังที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ 70 ปีหลังจากนี้ในแฟรนไชส์แฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่จบลงไปนานแล้ว และยังมีหลาย ๆ ช่วงที่หนังแฟลชแบ็คย้อนไปถึงอดีตของหลาย ๆ ตัว
ละครทั้ง ครีเดนซ์ , นิวท์ , เลตา ,ดัมเบิลดอร์ และ กรินเดลวอลด์ บอกเลยว่าถ้าไม่มีพื้นฐานจากแฮร์รี่ พอตเตอร์ มาหรือไม่ได้ดู Fantastic Beasts ภาคที่แล้วมา ยากที่จะเข้าใจครับ นี่คือหนังที่สร้างมาเพื่อตอบสนองแฟนเดนตายของจักรวาลแฮร์รี่ พอตเตอร์ เท่านั้น ที่เจ.เค. ตั้งชื่อจักรวาลของเธอว่า Wizarding World
อย่างที่กล่าวว่าโทนหนังของภาคนี้เปลี่ยนไปจากภาคแรกพอดู เพราะมันว่าด้วยสงครามที่กำลังก่อตัวของพ่อมดด้านมืดและด้านสว่าง ทำให้หนังอัดฉากแอ็คชั่นมาได้ถี่ ๆ และแต่ละฉากก็ทำได้สนุกน่าตื่นตา แม้ว่าเราจะดูการต่อสู้ของพ่อมดมาถึง 10 เรื่องแล้วก็ตาม โดยเฉพาะฉากไคลแมกซ์ท้ายเรื่องที่เล่นใหญ่และลากยาว เอาให้คุ้มค่าเงินทุนมหาศาล 200 ล้านเหรียญ มากกว่าภาคที่แล้วที่ใช้ไป 180 ล้านเหรียญ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเงินทุนน่าจะหมดไปบรรดาซีจีที่อัดแน่น เรียกได้ว่าทุก ๆ นาทีของหนังล้วนมีแต่ภาพซีจี
แต่ด้วยเหตุที่ว่าหนังเรื่องนี้ชื่อ Fantastic Beasts ก็จำต้องคงไว้ซึ่งความน่ารักของบรรดาสัตว์มหัศจรรย์ ที่ภาคนี้เลือกเก็บไว้แค่บางตัวที่คนดูรักอย่างเจ้า พิก มนุษย์ต้นไม้ตัวจิ๋วเพื่อนคู่ใจของนิวท์ที่ไปไหนมาไหนด้วยตลอด และเจ้านิฟเฟลอร์ ตัวตุ่นสีฟ้าจอมซนที่ภาคนี้ก็ยังมีบทบาทสำคัญพอควร โผล่มาทีไรก็ได้เสียงวีดวิ้วของคนดูที่ตอบรับความน่ารัก
ของมัน ภาคนี้นิฟเฟลอร์มีลูก ๆ น่ารักด้วยนะครับ และ “โซวู” แมวผสมมังกรสัตว์ในตำนานจีน สัตว์มหัศจรรย์ตัวใหม่ที่มีบทบาทสำคัญในภาคนี้พอควร ทีมงานทำการบ้านมาดีครับกับการออกแบบให้โซวูมีทั้งด้านน่ากลัวและน่ารักในตัวเดียวกัน ที่ไม่ชอบสุดคือบรรดาแก๊งแมวเฝ้าสุสานนี่แหละ ที่ทำออกมาหยาบมาก สงสัยงบจะหมดพอดี หนังแนะนำใหม่
รีวิว Fantastic Beasts The Crimes of Grindelwald (2018)
หลังจากที่ Fantastic Beasts 2 เข้าฉายทั่วโลก รวมถึงบ้านเรา คำวิจารณ์และผลตอบรับแตกเป็น 2 ฝั่งอย่างชัดเจน ฝ่ายหนึ่งสำหรับ (ผู้อ้างตัวว่าเป็น) แฟน Harry Potter ในขณะที่อีกฝ่ายเป็นผู้ชมทั่วไปหรือคนที่ไม่ได้เป็นแฟนอย่างเหนียวแน่น กระทั่งนักวิจารณ์ที่มองว่าหนังภาคนี้ค่อนข้าง “ไม่เป็นมิตร” สำหรับคนดูในวงกว้างเมื่อเทียบกับภาคแรก
จริงอยู่ที่ Fantastic Beasts 2 ภาคนี้พยายามสานต่อความสำเร็จของโลกเวทมนตร์อันเป็นเรื่องราว “ก่อนหน้า” เหตุการณ์ใน Harry Potter แต่อย่าลืมว่า Fantastic Beasts นั้นต้นกำเนิดของมันที่แท้จริงนั้นคือ หนังสือสารานุกรมสัตว์วิเศษ ซึ่งเอาเข้าจริงหนังภาคแรกก็คือความพยายามที่จะลากทุกอย่างให้เข้ากับจักรวาลแฮร์รี่ พอตเตอร์ ซึ่งสัตว์วิเศษเป็นแค่เพียงตัวประกอบของเรื่องราว แนวคิดดังกล่าวยิ่งปรากฏชัดใน The Crimes of Grindelwald มากกว่าเดิมเข้าไปอีก
ปัญหาประการใหญ่ของ The Crimes of Grindelwald คือการ “แวะเล่ารายทาง” ที่ไม่ได้ขับเคลื่อนเรื่องราวหลักๆซักเท่าไหร่ เพราะเอาเข้าจริงแล้ว แผนการแหกคุกของกรินเดลวัลด์ (จอห์นนี่ เด็ปป์) ซึ่งเมื่อได้รับการเฉลยในช่วงท้ายเรื่องนั้น ที่จริงแล้วมันมีแรงจูงใจและผลกระทบต่อบทภาพยนตร์ในภาคนี้ แถมยังมีความน่าสนใจ ว่าทำไมเขาจึงมี
ความคิดที่จะกำจัดคนที่ไม่ใช่เลือดบริสุทธิ์ นั่นก็คือมักเกิ้ล (มนุษย์ปกติ) และเลือดสีโคลน (คนที่มีเลือดผสมระหว่างพ่อมดแม่มดและมนุษย์) นั่นก็เพราะเขากำลังมองเห็นหายนะที่คืบคลานเข้ามาในรูปแบบของสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นฝีมือของมักเกิ้ล ถ้าหนังเลือกจะขยายความแผนการดังกล่าว มันคงจะช่วยทำให้เรื่องราวในหนังภาคนี้ มีจุดสำคัญอันเป็นแก่นของเรื่องมากยิ่งขึ้น
ความรู้สึกหลังดู
สิ่งที่น่าเสียดายประการถัดมา คือช่วงเวลาแรกของหนังค่อนข้างน่าเบื่อ เนิบช้าและวิธีการออกแบบตัวละครมนุษย์ในหนังภาคนี้ค่อนข้างแห้งแล้งเสน่ห์ เมื่อเทียบกับภาคแรก เราคงจดจำได้ว่า เจค๊อบ (แดน โฟเกลอร์)และควินนี่ (อลิสัน ซูดอล) นั้น เป็นตัวละครที่น่ารักและน่าเอาใจช่วยให้ทั้งสองมีโอกาสได้ลงเอยซึ่งกันและกัน
และคนดูใจสลายแค่ไหนที่คนใดคนหนึ่งต้องลืมเลือนทุกอย่างเพื่อกลับไปอยู่ในโลกของตัวเอง แต่ในภาคนี้พวกเขากลับกลายเป็นตัวละครที่ดูผิดที่ผิดทางและน่ารำคาญมากกว่าเคมีจะเข้ากันอย่างเคย ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากความพยายามทำให้พวกเขา “ตลก” อย่างยัดเยียด
สิ่งสุดท้ายคือบทภาพยนตร์ในภาคนี้ซึ่งเจ.เค.โรว์ลิ่ง ยังกลับมารับหน้าที่เดิม ยิ่งพิสูจน์ให้เราเห็นว่าเธอยังทำหน้าที่ในการเขียนบทได้ไม่ค่อยลงตัวจริงๆ ว่าการเขียนบทภาพยนตร์นั้นแตกต่างจากการเขียนนิยายที่จะใส่รายละเอียดอะไรเข้ามาก็ได้ เปรียบเทียบง่ายๆคือตอนที่ Harry Potter เป็นภาพยนตร์นั้น ได้รับการดัดแปลงมาจากตัวนวนิยาย
มีการคัดเลือกเรื่องราว ลดทอนรายละเอียดและเลือกจะเล่าในสิ่งที่นำไปสู่จุดไคลแมกซ์ แต่ในขณะที่ The Crimes of Grindelwald กลายเป็นใส่แต่รายละเอียด แต่ลืมที่จะเล่าสิ่งที่ “จำเป็น” ต่อการทำความเข้าใจพฤติกรรมของตัวละคร ส่งผลให้ไคลแมกซ์ (ช่วงเวลาในลานประชุมใต้สุสาน) กลายเป็นการยัดทะนานข้อมูลมากมายไปหมด เพียงเพื่อจะนำไปสู่หนังภาคต่อไปเท่านั้น
ความหละหลวมในการเล่าเรื่องของ The Crimes of Grindelwald จึงกลายเป็นแผลสำคัญประการใหญ่ ที่ “เลือดบริสุทธิ์” ก่นด่า เลือดสีโคลนและมักเกิ้ลว่า ก็เพราะคุณไม่ใช่ตัวจริง จึงไม่ชอบหนังเรื่องนี้ แล้วความคิดเช่นนี้จะแตกต่างอะไรกับตัวร้ายของหนังอย่างกรินเดลวัลด์กันเล่า หากเราไม่ยอมเคารพในความคิดที่หลากหลายและแตกต่างของคนอื่น
สรุปได้ว่า Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald เป็นภาคต่อที่โทนหนังหม่นกว่าภาคแรกมาก หนังแอ็คชั่นมากขึ้น ตัวละครมากขึ้น
แต่ถ้ามองตามไทม์ไลน์ของเหตุการณ์ภาคนี้ยังไม่ได้คืบหน้าไปเท่าใดนักเหมือนเป็นปฐมบทเข้าสู่สงครามเวทมนตร์ของ 2 ผู้ยิ่งใหญ่ ปริศนาใหม่ ๆ ก็ถูกสร้างขึ้นมาในภาคนี้
เพื่อดึงคนดูให้ติดตามบทเฉลยในภาคต่อ ๆ ไป แต่หลาย ๆ ปริศนานภาคแรกถูกเฉลย โดยเฉพาะตัวตนของครีเดนซ์ที่ถูกเปรยออกมาในวินาทีสุดท้ายของหนัง
ก็เรียกเสียงฮือฮาได้พอควร ช้าระวังจะถูกสปอยล์นะครับ