รีวิว divergent คนแยกโลก
ในโลกสมมุติที่มีการแบ่งเผ่าพันธุ์ 5 เผ่ากันตามอุปนิสัย เพื่อให้สภาพบ้านเมืองเต็มไปด้วยความสงบสุข บีทรีซ สาวน้อยวัย 16 ปี ก็กำลังจะเข้าสู่การได้คัดเลือกตามพิธีการ ว่าตัวเองนั้นจะได้เข้าไปอยู่ในเผ่าใด ซึ่งจากผลการคัดเลือกนั้นก็ทำให้เธอพบว่าเป็น Divergent หรือกลุ่มที่เลือกกลุ่มไหนก็ได้ และไม่สังกัดกลุ่มไหนเป็นพิเศษ
โดยคนกลุ่มนี้ก็จะต้องถูกกำจัดเนื่องจาก ทำให้การบริหานั้นยุ่งยาก แต่เธอก็ได้ผู้ดูแลการทดสอบช่วยเหลือเอาไว้ และเลือกเข้าไปอยู่ในกลุ่มผู้กล้าแทน โดยต้องปกปิดตัวตนของตัวเองเอาไว้เพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าเธอเป็น Divergent หนังแนะนำใหม่
สำหรับ Divergent นั้นอาจไม่ใช่หนังที่อาจจะถูกใจทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณคาดหวังจะให้มันเหมือน The Hunger Games แล้วก็ยิ่งบอกได้แค่ว่าห่างไกลอยู่เยอะ แต่สำหรับแฟนๆ นิยายที่เอียนๆ กับพาร์ทรักๆ ในนั้น ในฉบับหนังก็ลดโทนตรงนั้นลงไปเยอะ และเน้นชีวิตนางเอกในกลุ่ม รวมถึงพาไปสำรวจโลกของ Divergent มากขึ้น
จนนับว่าเป็นภาคเปิดที่ค่อนข้างโอเค ดูเพลินได้เลย แต่ทั้งนี้ก็ต้องเตือนกันก่อนว่าสุดท้ายหากเลือกที่จะเริ่มดูนั้น หนังที่สร้างมาก็ทำมาได้ไม่จบ ด้วยความซนในการแยกภาคออกมาแล้วดันเจ๊งเสียก่อน เอาเป็นว่าใครชอบแนวๆ ดิสโทเปียอย่าง The Hunger Games หรือ The Maze Runner ก็อยากให้ลอง ส่วนจะชอบหรือไม่ชอบก็มาว่ากันอีกที
รีวิว divergent คนแยกโลก
เป็นอีกหนึ่งหนังที่ว่าด้วยโลกดิสโทเปีย (โลกที่ไม่พึงปราถนา) กับระบบการแบ่งเผ่าตามลักษณะนิสัยหลักของคน เช่น กลุ่มผู้ให้ กลุ่มสันติ กลุ่มซื่อสัตย์ กลุ่มทรงปัญญา และกลุ่มกล้าหาญ ที่เอาจริงๆ ก็ดูไม่สมเหตุสมผลแต่อย่างใด ด้วยความหลากหลายของนิสัยมนุษย์ที่มีมากกว่านั้น รวมถึงกลุ่มที่เป็นเบ๊ก็จะรับหน้าที่แบบเบ๊ๆ ไปตลอด
ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ขัดใจอย่างมากในฐานะคนที่อ่านนิยายมาตั้งแต่ต้น แต่เมื่อได้มาลองคิดแล้ว ก็อาจเป็นเพราะมันเป็นโลกที่ไม่ได้ต้องการให้มันเป็นแบบนี้นั่นแหละ มันถึงชวนขัดใจแบบนี้ ซึ่งก็ตรงกับที่แนวดิสโทเปียมันควรจะเป็นอยู่แล้ว ดูหนังฟรี
หากเทียบ Divergent กับหนังรุ่นพี่อย่าง The Hunger Games ในแง่การสร้างจักรวาลขึ้นมาใหม่กับตัวเอกวัยรุ่นหญิงแล้วนั้น ก็ถือว่าห่างชั้นกับรุ่นพี่มากๆ เพราะในเรื่องนั้นปรับโทนตัวเองเป็นความเข้มข้น และหยิบเอามุมมองของการเมืองการปกครอง มาใช้ให้เข้ากับเนื้อเรื่องอย่างเต็มที่ ในขณะที่ในเรื่องนี้จะเน้นไปที่โทนรักโรแมนติก
และการผจญภัยในเผ่าตัวเองเสียมากกว่า ซึ่งในแง่ดีของหนังมันก็ค่อนข้างจะมีครบรส มีทุกแนว คนที่ชอบในพาร์ทโรแมนติกของนางเอกหล่อๆ สวยๆ ก็สามารถฟินไปกับหนังได้ หรือคนที่ชอบแอคชั่น ฉากฝึกภายในเผ่าตัวเองก็จะสนุกไปกับหนังได้เหมือนกัน divergent คนแยกโลก
การดำเนินเรื่อง
เป็นเรื่องราวของสังคมที่ดำเนินโดยบุคคล 5 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้กล้า (Dauntless) คนกลุ่มนี้ทำหน้าที่ปกป้องรักษาเมือง, กลุ่มผู้ยึดถือความถูกต้อง (Candor) เป็นกลุ่มของทนายและผู้พิพากษา, กลุ่มผู้มีปัญญา (Erudite) ทำหน้าที่เกี่ยวกับข้อมูลและการบริหารจัดการ, กลุ่มผู้รัักความสงบ (Amity) ทำหน้าที่เพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ และกลุ่มผู้เสียสละ (Abnegation) ทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้อื่น ดูหนังออนไลน์
แต่ในสังคมแห่งนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะมีเพียงบุคคล 5 กลุ่มนี้ที่ทุกคนต่างทำหน้าที่ในกลุ่มของคนเพื่อให้สังคมอยู่ได้ แต่ยังมี ‘คนไร้กลุ่ม’ อยู่ด้วย เปรียบเสมือนผู้ด้อยโอกาสในสังคม และคนที่พวกหนึ่งที่สังคมแห่งนี้ไม่ต้องการ ถ้าหากพบว่าใครเป็นจะต้องถูกกำจัดทิ้งนั่นก็คือ Divergent
ทุกคนจะรู้ว่าตนจะต้องอยู่กลุ่มไหนก็ตอนที่อายุครบ 16 ปี จะมีพิธีการเลือกในสิ่งที่ตนเองต้องการ ในการทดสอบมี 2 ขั้นตอนคือ การใช้เซรุ่มหรือสารเคมีบางอย่างเพื่อทดสอบสภาวะจิตใจ และในขั้นสุดท้ายคือให้เจ้าตัวตัดสินใจเอง ปัญหาเกิดขึ้นตรงนี้แหละ เมื่อนางเอกของเรื่องคือ บีทรีซ ไพรเออร์ (Beatrice Prior)
ซึ่งรับบทโดย เชย์ลีน วู้ดลีย์ (Shailene Woodley) ถูกตรวจพบในขั้นตอนแรกว่าเธอเป็น Divegent คือผู้ที่ไม่จัดอยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเลย แม้แต่กลุ่มของพ่อและแม่ของเธอซึ่งอยู่ในกลุ่มผู้เสียสละ แต่เธอจะอยู่กลุ่มไหนก็ได้ ผู้กล้า ผู้เสียสละ หรือมีปัญญา divergent เรื่องย่อ
พล็อตเรื่อง
การที่ Divergent ต้องถูกกำจัดทางฝ่ายบริหารให้เหตุผลว่า บุคคลที่เป็น Divergent มีความคิดที่หลากหลาย ควบคุมได้ยาก เป็นภัยต่อสังคมที่สงบสุข โชคดีที่ผู้ทำหน้าที่ทดสอบให้กับเธอช่วยเอาไว้ จึงไม่มีใครจับได้ เมื่อถึงเวลาที่เธอต้องตัดสินใจเอง เธอเลือกที่จะอยู่กลุ่มผู้กล้า หลังจากที่เลือกแล้วว่าจะอยู่กลุ่มไหน หากกลุ่มที่เลือกไม่ใช่กลุ่มเดียวกับครอบครับ ก็จะต้องแยกและไม่ได้อยู่กับครอบครัวอีก ไม่แน่ใจว่าทำไมต้องตั้งกฏกันขนาดนี้ ดูโหดร้ายจัง โดยมีคำกล่าวที่ทุกคนต้องจำให้ขึ้นใจคือ ‘กลุ่มสำคัญกว่าสายเลือด’ ดูหนังฟรี
บีทรีซ พยายามที่จะทำทุกอย่างให้เธออยู่รอดในกลุ่มของผู้กล้า โดยเธอเปลี่ยนชื่อเป็น ทรีส (Tris) และพยายามฝึกซ้อมอย่างมุ่งมั่นเพื่อให้ผ่านการทดสอบและได้รับการยอมรับในกลุ่ม ที่นี่เอง ทรีส ได้พบกับพระเอกของเรื่องคือ โฟร์ (Four) รับบทโดย ธีโอ เจมส์ (Theo James) ซึ่งเป็นครูฝึกของเขานั่นเอง ตั้งแต่ที่พบกันตอนแรกเขาและเธอดูเหมือนจะถูกชะตากัน และโฟร์ก็คอยช่วยเหลือ ทรีส ในเรื่องต่างๆ มาตลอด แต่ในที่สุด ทรีส ก็ถูกจับได้ว่าเป็น Divergent divergent เนื้อเรื่อง
รีวิว divergent คนแยกโลก บทสรุป
หนังมีความยาวกว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง (140 นาที) ค่อนข้างยาวทีเดียว โดยรวมแล้วดูได้เรื่อยๆ ไม่ถึงกับเสียความรู้สึก ไม่ถึงกับน่าเบื่อ แต่ก็อาจจะไม่ประทับใจเท่าที่ควร การเล่าเรื่องดูไม่ค่อยต่อเนื่อง เหตุและผลของเนื้อเรื่องยังนำเสนอได้ไม่เฉียบคม ในช่วงของฉากสำคัญๆ ยังดึงอารมณ์ได้ไม่สุด ฉากบู๊ก็ไม่เต็มที่นัก ฉากรักก็ไม่ค่อยซาบซึ้งกินใจ ฉากที่จะต้องลุ้นก็ยังไม่ตื้นเต้นสักเท่าไร
เรื่องนี้หรือจะบอกว่าภาคนี้ก็ได้ เป็นผลงานกำกับของ นีล เบอร์เกอร์ (Neil Burger) ภาคต่อไปหลังจากที่ ทรีส และ โฟร์ หนีรอดจากการจับกุม เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อ และ นีลยังกำกับอยู่หรือไม่ แม้ภาคนี้จะไม่ประทับใจเท่าที่ควร แต่ก็จะติดตามในภาคต่อไปอีกแน่นอน divergent คนแยกโลก บทสรุป
แต่ในทางกลับกันสำหรับคนที่มองหาความเข้มข้นและซับซ้อนของตัวหนัง ให้ลงลึกไปถึงประเด็นที่สามารถเอามาพูดต่อกันได้จากเรื่อง ก็อาจจะยากสักหน่อย เพราะโทนที่ว่าในหนังมันช่างหายากเหลือเกิน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ถือว่าหนังเป็นปฐมบทที่ชวนติดตามต่อได้อีกเรื่อง และค่อนข้างดีกว่าฉบับนิยายต้นฉบับลงไปเยอะ ที่ตัวละครดูหื่นกระหายแทบจะพล็อดรักกันในแทบจะทุกหน้าเว้นหน้าเลยด้วยซ้ำ ในฉบับหนังจึงออกมาค่อนข้างพอใจอยู่ไม่น้อย กับการหยิบจับแนวนี้นิด มาผสมแนวนั้นหน่อย ผสมกันออกมาได้สนุกในระดับนึง
โดยรวมหนัง
ตัวเทคนิคต่างๆ ไม่ได้ดูอลังการนัก ออกดูเป็นอนาคตที่ไม่ได้เจริญสูงไปมากกว่าปัจจุบันเท่าไหร่ แต่มีสไตล์ของเมืองที่ไม่ล้ำไปมากนัก รายละเอียดบางอย่าง ไม่ได้ถูกเล่าเอาไว้ อย่างเช่นรถไฟที่ไม่เคยเห็นหยุดวิ่งและวิ่งไปไหนไม่เคยได้รับรู้ที่หมาย
‘คนแยกโลก’ เป็นเหมือนโลกที่ดูไม่คุ้นเคย การจับคนเป็น 5 กลุ่มแยกจากกันอย่างเด็ดขาด แม้จะเคยเป็นครอบครัวเดียวกันมา ถึงเวลาก็ต้องพรากจาก หนังพยายามจะเน้นไปที่ปม “กลุ่มข้นกว่าเลือด” อยู่มากพอสมควร มองออกไปก็ดูไม่ต่างจากอุดมการณ์ของคนต่างกลุ่มในยุคนี้ แม้แต่ครอบครัวก็อาจล่มสลายได้จากขั้วความคิดทางการเมืองที่แตกต่างกัน divergent คนแยกโลก สนุกไหม
เมื่อสังคมจะมีกลุ่มคนที่ดูจะประนีประนอมหรือมีความเชื่อที่หลากมุมมองเข้ามาบ้าง ก็จะถูกกำจัดด้วยเหตุผลที่ว่าจะทำให้สังคมโดยรวมเดือดร้อน เพราะกลุ่มคนพวกนี้เป็นนักแหกกฏ โดยละลืมไปว่า แม้ตัวเองก็ยังแหกกฎอยู่หลายครั้ง แต่แม้พวกที่มีกลุ่มก็ยังอาจโหดเหี้ยมไร้คุณธรรมยิ่งกว่าพวกไร้กลุ่มมากนัก หนังอาจจะแตะประเด็นพวกนี้บ้างแต่ก็ดูไม่เอาจริงเอาจังนัก
แต่หันไปเล่นกับกิจกรรมการฝึกฝนตัวเองและบททดสอบต่างๆ ที่พร้อมจะทำให้นางเอกถูกเปิดโปงได้ทุกเมื่อแทน ซึ่งนั่นก็อาจทำให้แก่นของเรื่องดูอ่อนด้อยไปบ้าง แต่ความสนุกเพลิดเพลินและเรื่องราวรักๆ ใคร่ๆ ก็ถูกชูขึ้นมาให้โดดเด่นมากขึ้นแทน
ผมว่าเรื่องรักใน ‘คนแยกโลก’ ถือว่าขมๆ ไม่ดูหวานเลี่ยนจนเกินไป
นางเอก Shailene Woodley เธอดูดีขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะเวลาของหนัง ขณะที่ Theo James ก็ดูมีทั้งความแข็งกร้าวเดาใจยากและอ่อนโยนอยู่ในคนเดียวกัน
หลังจากดูไปได้ครึ่งเรื่อง ในใจก็รู้สึกว่า จริงๆ แล้วในเวอร์ชั่นหนังสือน่าจะมีรายละเอียดมากกว่านี้ แต่ด้วยความเป็นหนังจึงไม่อาจเล่าได้ครบหมด ครึ่งเรื่องแรกแม้จะดูเชื่องช้า ทว่ามีบางอย่างน่าสนใจ จนอยากจะหาหนังสือมาอ่านเพื่อเก็บข้อมูลที่ตกหล่นไป
ตัวหนังที่ยาว 2 ชั่วโมง 19 นาทีนี้ อาจเป็นเพราะนี่คือภาคแรก ที่ต้องเริ่มปูพื้นเรื่อง ทำให้การเล่าอาจดำเนินไปอย่างเชื่องช้ากว่าจะอุ่นเครื่องจนพอใจ คนใจร้อนก็อาจไม่ทันใจ แต่สำหรับคนใจเย็น หนังจะค่อยๆ เพิ่มระดับความแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ได้ถึงกับชวนหลับแต่อย่างใด หลายคนว่าหนังไม่สนุก แต่หลายคนก็ว่ามันสนุกดี ผมคงเป็นพวกหลัง
อยากรู้ว่าเป็นไงลองหาคำตอบด้วยตัวเองก็แล้วกันนะ
ติดตามรีวิวหนังเรื่องอื่นๆได้ที่ รีวิวหนังใหม่ชัด