รีวิว Anatomy of a Scandal
จะมาแนะนำภาพยนตร์ ที่เรียกได้ว่ามาได้ถูกเวลาจริง ๆ สำหรับซีรีส์ ‘Anatomy of a Scandal’ ทั้งเนื้อหาว่าด้วยนักการเมืองหนุ่มหน้าตาดีที่ต้องขึ้นศาลเพราะถูกฟ้องร้องในดคีข่มขืนเจ้าหน้าที่วิจัยรัฐสภาที่ดันมาแบบทาบทับสนิทกับคดีฟ้องร้องนายปริญญ์ พานิชภักดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่ถูกฟ้องร้องในคดีคล้ายคลึงกัน
แต่จุดที่น่าสนใจที่สุดคงหนีไม่พ้นว่าแม้นี่จะเป็นซีรีส์ขึ้นโรงขึ้นศาลทว่ามันกลับเล่าในมุมของผู้หญิงที่มีอะไรซับซ้อนซ่อนเงื่อนผ่านสายตาทั้งเมีย ทนายและเหยื่อในคดีนี้
ซึ่ง ซีรีส์มีศูนย์กลางของเรื่องราวอยู่ที่ครอบครัวไวต์เฮาส์ที่แสนอบอุ่นต้องมาสั่นคลอนเมื่อเจมส์ (รับบทโดยรูเพิร์ต เฟรนด์ Rupert Friend) สามีในตำแหน่งวิปรัฐบาลอนาคตไกลถูกฟ้องร้องจาก โอลิเวีย ลิตตัน (รับบทโดยนาโอมิ สก็อต Naomi Scott)
เจ้าหน้าที่วิจัยรัฐสภาที่กล่าวหาว่าเขาข่มขืนเธอในลิฟต์ งานนี้คนที่จะได้รับผลกระทบที่สุดหนีไม่พ้น โซเฟีย (รับบทโดยเซียนนา มิลเลอร์ Sienna Miller) ภรรยาและแม่ของลูก ๆ ที่พยายามปกป้องครอบครัวไปพร้อม ๆ กับตั้งคำถามว่าสามีที่เธอใช้ชีวิตอยู่ด้วยทุกวันเป็นคนดีจริงอย่างที่เธอคิดหรือไม่
และไม่เพียงเส้นเรื่องหลักที่ว่าด้วยคดีฟ้องร้องเท่านั้น แต่ซีรีส์ยังมีพล็อตเสริมอีกพลอตที่ทำหน้าที่เล่าคู่ขนานกันไปคือเรื่องราวของ เคท วูดครอฟต์ (รับบทโดย มิเชล ด็อกเคอรี Michelle Dockery) ทนายฝ่ายโจทย์ที่ต้องทวงความยุติธรรมให้กับเหยื่ออย่างลิตตัน แต่ในขณะเดียวกันเธอก็เก็บงำความลับบางอย่างให้คนดูต้องไปลุ้นในซีรีส์ว่าแท้จริงแล้วอำนาจและอภิสิทธิ์จะอยู่เหนือความยุติธรรมหรือไม่
และพูดกันตามตรงแล้วหนังหรือซีรีส์ที่พูดถึงคดีนักการเมืองล่วงละเมิดทางเพศไม่ใช่เรื่องใหม่เอาแค่หนังโรงก็มีทั้ง ‘Wag the dog’ (1997) และ ‘Primary Colors’ (1998) ที่เอาคดีฉาวโฉ่ของ บิล คลินตัน (Bill Clinton) มาเป็นต้นธารในการเล่าเรื่อง
แต่สำหรับมินิซีรีส์อย่าง ‘Anatomy of a Scandal’ กลับขุดคุ้ยไปถึงปมอภิสิทธิ์ชนโดยเฉพาะฉากย้อนอดีตในซีรีส์ที่ทำให้เห็นเรื่องราวของหนุ่ม ๆ กลุ่มลิเบอร์ทีน ซึ่งเป็นสโมสรมหาวิทยาลัยที่เหมือนแบบจำลองโลกผู้ชายเป็นใหญ่เพื่ออธิบายถึงที่มาของเจมส์ ไวต์เฮาส์ก่อนจะเดินเข้าทางเข้าสู่สภาไปควบคู่กับเรื่องราวการต่อสู้ในชั้นศาล
ต้องยอมรับล่ะว่าความเข้นข้นและแซ่บปึ้กของนิยายชื่อเดียวกันของ ซาราห์ วอห์น (Sarah Vaughan) เป็นต้นธารให้ซีรีส์ได้ดีอยู่แล้ว แต่เราก็อดชื่นชมผู้กำกับหญิงคนเก่งอย่าง เอส เจ คลาร์กสัน (S.J. Clarkson) ที่เคยกวาดคำชมจากงานกำกับซีรีส์ทั้ง ‘Orange is the New Black’ ของเน็ตฟลิกซ์ และ ‘Life on Mars’ ที่สามารถคุมเรื่องราวและโทนอารมณ์ได้อยู่หมัดทำเอามินิซีีรีส์ 6 ตอนเต็มไปด้วยความดุเดือดแบบไว้วางใจใครไม่ได้
และรวมถึงรายละเอียดหลายอย่างที่ทำให้เราเห็น “งานกำกับ” ที่แม่นยำของคลาร์กสันโดยเฉพาะซีนครอบครัวไวต์เฮาส์ที่มีเหตุการณ์เล็กน้อยอย่างเช่นฉากเล่นเกมเศรษฐีที่เจมส์เอาบัตร ‘Jail Free’ หรือบัตรพ้นคุกที่ซ่อนไว้ออกมาใช้กับลูก ๆ จนถูกเด็กน้อยทั้งสองลงทัณฑ์ด้วยหมอนก็เหมือนเป็นซีนที่บ่งบอกถึงความเป็นอภิสิทธิ์ชนของเจมส์ได้อย่างแยบยล
และในขณะเดียวกันคลาร์กสันยังทำให้ผู้ชมได้เห็นความเคลือบแคลงใจของโซเฟียต่อผู้ชายที่เธอรักและเทิดทูนมาตลอดเป็นครั้งแรกได้อย่างชาญฉลาดอีกด้วย
รีวิว Anatomy of a Scandal
นอกจากนี้สิ่งที่ต้องชื่นชมคืองานกำกับภาพในหนังซึ่งจากผลงานเชิงประจักษ์ในมินิซีรีส์ 6 ตอนนี้ก็ทำให้เราไม่อาจคาดหวังอะไรที่น้อยไปกว่าความยอดเยี่ยมสำหรับโปรเจกต์ ‘Madam Web’ หนังใหญ่ในจักรวาล ‘Spider-Verse’ ไม่ได้เลย
แต่กระนั้นแล้วก็ต้องยอมรับว่าพอจำนวนตอนของมินิซีรีส์เรื่องนี้มีแค่ 6 ตอนมันก็กลายเป็นดาบสองคมไม่น้อยเพราะในขณะที่เรื่องราวเข้มข้นแบบแทบไม่มีซีนไหนที่เกินความจำเป็นเลยและทำให้คนดูลุ้นระทึกนั่งไม่ติดแล้ว
พอซีรีส์เลือกจะให้ 2 ตอนสุดท้ายนำไปสู่อะไรบางอย่างก็กลับกลายเป็นว่าเวลาในการเล่าเรื่องในส่วนหลังสุดกลับไม่พอซะอย่างนั้นจนทำให้บทสรุปของซีรีส์อาจถูกมองได้ทั้งการทิ้งปมให้คนดูคิดต่อหรือบางทีอาจกลายเป็นว่าเหมือนซีรีส์จบตัดอารมณ์กันซะอย่างนั้น
ทิ้งท้าย…อีกจุดนึงที่ต้องอวยยศกันมาก ๆ คือบรรดานักแสดงนี่แหละครับหลายคนทั้งเซียนนา มิลเลอร์ (G.I.Joe :The Rise of Cobra) รูเพิร์ต เฟรนด์ (Hitman : Agent 47) หรือกระทั่งนาโอมิ สก็อต (Aladdin, Charlie Angels) ต่างผ่านหนังใหญ่ ๆ กันมาแล้วแต่กลับไม่ค่อยได้โอกาสแสดงฝีมือก็มีมินิซีรีส์เรื่องนี้แหละครับที่ทำให้เราเห็นว่านอกจากหน้าตาหล่อสวยแล้วพวกเขามีฝีมือการแสดงที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย
รวมถึงมิเชล ด็อกเคอรี จากซีรีส์ ‘Downton Abbey’ ที่สร้างเซอร์ไพรส์มาก ๆ ในบทเคท วูดครอฟต์ก็ทำให้ตัวละครของเธอในช่วงหลังเต็มไปด้วยปริศนาที่ชวนให้เราติดตามแบบไม่อาจละสายตาได้เลย และโจเซตต์ ไซมอน (Josette Simon) ในบทแองเจลา รีแกน ทนายจำเลยสุดเขี้ยวก็เข้มข้นไม่แพ้กัน
สำหรับตอนจบของ ‘Anatomy of a Scandal’ เราคงไม่สปอยล์นะครับแต่บอกได้คำเดียวว่ามันเจ็บแสบไม่น้อยและที่สำคัญหากคดีในโลกความจริงที่ประเทศไทยเป็นไปในทิศทางเดียวกันก็คงกลายเป็นตลกร้ายนอกจอฉบับไทยแลนด์โอนลี่เหมือนที่ผ่านมาไปโดยปริยาย
ประการแรกข้อดี ฉันคิดว่าการแสดงนั้นดีมาก มีฉากที่ดี มีหลักฐานที่น่าสนใจ และเป็นหัวข้อที่เป็นข้อโต้แย้งที่จะดึงคุณเข้ามา ไม่มีอะไรที่เหมือนกับเรื่องอื้อฉาวที่ฉูดฉาด
อย่างไรก็ตามฉันรู้สึกว่าข้อเสียทำให้ซีรีย์นี้ลดลง เมื่อตัวตนที่แท้จริงของ Kate Woodcroft ถูกเปิดเผย ฉันพบว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่? ใครบางคนสามารถเปลี่ยนแปลงร่างกายได้มากและฟังดูแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง? จำไว้นะว่าเหตุการณ์ Libertine เกิดขึ้นที่อ็อกซ์ฟอร์ด ดังนั้นนี่เป็นช่วงสมัยมหาวิทยาลัยไม่ใช่โรงเรียนมัธยมปลาย มันไม่สมจริงที่จะอ้างว่าเธอสามารถมอง
และให้เสียงที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้น ทำไมโซฟี (คู่การศึกษาของเธอ) ถึงจำเธอไม่ได้หลังจากเห็นเธอในทีวี หนังสือพิมพ์ และในห้องพิจารณาคดี เธอจำเธอได้อย่างสะดวกสบายเมื่อจบการแสดง เนื่องจากโซฟีมีลูกเล็กๆ และไม่แก่เกินไป เราจึงไม่ได้พูดถึงทศวรรษหลังจากเธอเรียนมหาวิทยาลัยมาหลายสิบปี
ข้อเสียที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการใช้แบบแผน เราแสดงให้เห็นภาพเหมารวมชายผิวขาวที่ประพฤติตัวไม่ดีในช่วงสมัยมหาวิทยาลัยของเขาและคาดว่าจะหนีไปได้ คงจะดีถ้ารายการไม่ผลักดันวาระ แต่ให้พึ่งพาหัวข้อที่หลากหลายแทน ฉันคิดว่าโครงเรื่องของยุค Libertine ที่สมมติขึ้นนี้อาจถูกละเว้น
อันที่จริงแล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้า James Whitehouse เป็นตัวละครที่น่าชื่นชมและเรื่องอื้อฉาวนี้ทำให้ผู้ชมตั้งคำถามกับทุกสิ่ง มันคงจะดีกว่าถ้าดูถ้ามันทำให้มากขึ้นเกี่ยวกับการบิดและเปลี่ยนของการทดลองใช้ สำหรับข้อเสียเหล่านี้ ฉันเสียใจที่ให้รายการนี้เป็น 6 ฉันหวังไว้มากกว่านี้
การแสดงนี้ไม่ได้ทำให้มัน การเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมาเกือบ 50 ปี ฉันพยายามหลีกเลี่ยงการวิจารณ์ที่วิพากษ์วิจารณ์โดยอาศัยเทคนิคทางกฎหมาย ตัวอย่างเช่น ฉันคิดว่า “The Verdict” กับ Paul Newman เป็นละครที่ยอดเยี่ยม แม้ว่าจะไม่ได้ปราศจากความไม่ถูกต้องในแง่ของการพรรณนาถึงกระบวนการดำเนินคดีก็ตาม
ความรู้สึกหลังดู
พล็อตเรื่องเหลือเชื่อที่ตัวละครไม่รู้จักเพื่อนจากมหาวิทยาลัย 20 ปีต่อมา และใครที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงที่เขาไม่เคยคุยด้วยหลังจากประสบอุบัติเหตุที่น่ากลัวและน่าสะพรึงกลัวเพียงไม่กี่นาที
กายวิภาคศาสตร์เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ปัญหาของมันเกี่ยวข้องกับโครงเรื่องที่นำไปสู่การจบที่ไร้สาระ สามตอนแรกเริ่มต้นได้ดีพอ ตามแบบฉบับของ British Productions การแสดงนั้นยอดเยี่ยมและบทสนทนาก็มีไหวพริบ
หลังจากนั้นทุกอย่างก็ตกต่ำ กลับกลายเป็นว่าเรื่องราวกลายเป็นเรื่องตลกที่ไม่สามารถยอมรับได้ ตอนจบเป็นเรื่องน่าหัวเราะ น่าแปลกที่มีการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ในการบิดพล็อตที่อาจทำให้เรื่องราวทั้งหมดเป็นที่ยอมรับและน่าเชื่อถือ
อย่างไรก็ตาม หากคุณต้องการดูละครกฎหมายที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า Anatomy ฉันขอแนะนำ “Anatomy of a Murder” อันยอดเยี่ยมของ Otto Preminger กับ Jimmy Stewart, Lee Remick, George C Scott และคณะ
เป็นการแสดงที่น่าสนใจทีเดียว แต่ตอนจบมันแย่มาก แย่จนทำให้ซีรีส์เสียหายทั้งชุด แม่คนไหนอยากให้สามีและพ่อของลูกเป็นนักโทษและติดคุก? นั่นก็จะทำลายอนาคตลูก ๆ ของเธอเช่นกัน นอกจากนี้อะไรคืออาชญากรรมของเขาจริงๆ? และทำไม “ความอาฆาต” ของพนักงานอัยการถึงถูกพิสูจน์ว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
สิ่งที่ฉันไม่เข้าใจก็คือ ภรรยาเต็มใจที่จะทำลายอาชีพของสามี และครอบครัวของเธอด้วย และโค่นล้มรัฐบาลทั้งหมด และทั้งหมดในนามของ “ความจริง” ถึงกระนั้น เธอไม่ได้หยิบยกความจริงของเพื่อนเก่าในมหาวิทยาลัยของเธอที่ดำเนินคดีกับคดีนี้ ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดจรรยาบรรณเพราะว่าเพื่อนคนเดียวกันนี้ถูกสามีทำร้ายและอาจดูเหมือนกำลังหาทางแก้แค้น การกระทำที่จะทำให้เธอถูกไล่ออก
ถ้าความจริงสำคัญกับเธอมาก ทำไมเธอไม่ไปหาความจริงทั้งหมดล่ะ? ทำไมเธอถึงไว้ชีวิตเพื่อนเก่าของเธอ? พูดตามตรงฉันพบว่าค่อนข้างอ่อนแอ เป็นเรื่องน่าละอายจริงๆ เพราะฉันสนุกกับมันจนถึงตอนจบ เมื่อการพลาดพลั้งครั้งนี้เปลี่ยนมุมมองทั้งหมดของฉัน
ทำลายหนังทั้งเรื่อง จบไม่สมจริงโดยสิ้นเชิง ทำไมเมียถึงทำแบบนี้? คำอธิบายของเธอไม่มีมูล ทำไมรัฐบาลถึงระเบิด? ไม่เพียงแต่ไม่มีพยานเท่านั้น แต่ยังมีการดำเนินคดีเพียงเล็กน้อย น่าเสียดายที่อาจจะเป็นซีรีส์ที่ยอดเยี่ยม
(เห็นทั้งซีรีส์) แทนที่จะนั่งเฉยๆ และดูซีรีส์ทั้งเรื่องโดยคิดว่าบางอย่างจะสมเหตุสมผลในที่สุด มันไม่ได้ Dockery, Miller และ Friend ทำในสิ่งที่พวกเขาทำได้: Miller ทำสิ่งที่ดีที่สุดกับวัสดุที่เป็นสบู่ Friend ได้ “เยาะเย้ยวายร้าย” ที่ยอมรับได้ในขณะที่ Lying Lizard และ Dockery ไม่พบฐานรากของเธอ พวกเขาคัดเลือกนักแสดงนำรุ่นเยาว์สองคนจากสามคนด้วยความเลอะเทอะเล็กน้อย
และหนึ่งในสามที่มีจุดประสงค์เพื่อการหลอกลวงอย่างร้ายแรงและเป็นเพียงวิธีที่มีหมัดในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับงานเขียนที่แย่กว่านั้น การวิพากษ์วิจารณ์อภิสิทธิ์และระบบตุลาการที่หยิ่งผยองในที่ใดที่หนึ่งในสหราชอาณาจักรได้สูญหายไปในการท่องไปในป่าที่ไร้จุดหมาย ฉันให้ดาวตัวเองหนึ่งดาวสำหรับการดูทั้งหมด และสามดาวสำหรับผู้ที่ทำ พวกเขาทำเงินได้มากกว่าที่ฉันทำ
เอาเป็นว่าหนังเรื่องนี้ เล่าเรื่องได้น่าติดตาม สนุกแบบเนื้อ ๆ ไม่เอื่อยเฉื่อย ทีมนักแสดงคือท็อปฟอร์มมาก เฉือนคมกันแบบไม่มีใครยอมใคร งานกำกับของ S.J. Clarkson เอาซีรีส์ได้อยู่หมัด กำกับอารมณ์คนดูเหมือนสั่งได้ มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องเพศ อาจไม่เหมาะกับเยาวชน