รีวิวหนัง Castle Rock เมืองหลอนต้องสาป ที่รวมตัวละครของสีเฟนคิง

รีวิวหนัง Castle Rock เมืองหลอนต้องสาป ที่รวมตัวละครของจักรวาล สีเฟน คิง

หากใคร กำลังมองหา หนังใหม่ๆ เอาไว้ดูแก้เบื่อ  แต่ไม่รู้ว่าจะดูเรื่องอะไรดี วันนี้ขอแนะนำหนังเรื่องล่าสุดได้รับชมมา ซึ่งแน่นอนว่าเป็นหนังอีกหนึ่งเรื่อง ที่หากใครได้รับชมไปแล้วจะหยุดดูไม่ได้อย่างแน่นอน สำหรับ หนัง ที่ จะนำมาแนะนำในวันนี้ก็คือ

“ Castle Rock “  หรือ  “ คาสเซิลร็อค “  ใครที่ติดตามงานของเจ้าพ่อเรื่องราวสยองขวัญอเมริกันอย่าง สตีเฟน คิง ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบนวนิยายดั้งเดิม หรือหนังสยองขวัญที่ดัดแปลงมา ก็จะคุ้นเคยกับหนังเรื่องนี้ เป็นหนังลึกลับชวนขมวดคิ้ว รวมจักรวาลของ Stephen King ที่นำเอาทั้งตัวละครต่างๆ และสถานที่  มารวมไว้ในหนังเรื่องนี้ มีทั้งความลึกลับ ซับซ้อน ฆาตกรรม จิตวิญญาณ ฌานพิเศษ กาลเวลา มิติคู่ขนาน และคีย์หลักของเรื่องจะเล่าถึงความเชื่อ สิ่งลี้ลับ และเรื่องที่เราหาคำตอบไม่ได้ ที่ชาวคอหนังไม่ควรพลาด เสียงเรียกของพระเจ้า และเรื่องราวผิดธรรมชาติของเมือง ” Castle Rock “

หนังบอกเล่าถึงเหตุการณ์ ในเมืองแคสเซิลร็อก เมืองที่มี ประวัติอันน่ากลัว พวก ฆาตกรรม การฆ่าตัวตาย รวมไปถึงตำนานพ่อมดแม่มด ทั้งหมดนี้

เข้าเรื่องมา หนังจะให้เรารับรู้ถึงคุกที่ชื่อ ทัณฑสถานชอว์แชงค์ และ หลังพัศดี ได้ตายจากไป พัศดีหญิงคนใหม่ก็เข้ามาทำหน้าที่แทน และได้รู้ว่าคนเก่าซ่อนนักโทษไร้ชื่อเอาไว้ในแดนแปด เขาไม่รู้ชื่อตัวเอง เอาเป็นว่าเขาคือ The Kid (Bill Skarsgård จากหนังเรื่อง It, Deadpool และ The Devil All the Time) ก็แล้วกัน เขาถูกขังอยู่ในคุกยาวนาน คำแรกที่เขาอ้าปากพูดเป็นชื่อของทนายคนหนึ่ง

เฮนรี่ ดีฟเวอร์ (จากหนังเรื่อง Moonlight และ A Wrinkle in Time)เขาเป็นทนายหนุ่ม ได้ขับรถมาที่เมืองแคสเซิลร็อกเพื่อสืบสวนคดีหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาก็คือคนเมืองนี้ มีประวัติเคยหายตัวไป 11 วันในสมัยเป็นเด็กวัย 11 ขวบ ก่อนจะกลับมาอย่างปาฏิหาริย์

ตอนนี้ พ่อบาทหลวงที่รับเขามาเลี้ยงก็ได้ตายไปแล้ว เขามาอยู่กับรูธ (Sissy Spacek) ภรรยาของบาทหลวง (ที่เขาเรียกว่าแม่) เธอเป็นโรคสมองเสื่อมแต่ก็อยู่ในความดูแลของ อลัน แพงบอร์น (Scott Glenn) ใช่แล้ว… เขากลับมายังเมืองที่เต็มไปด้วยเรื่องราวลึกลับ เหนือธรรมชาติ และน่าหวาดหวั่น…เมืองนั้นอีกครั้ง

เอาจริง ผู้คนในเมืองนี้ก็มีแต่พวกพฤติกรรมแปลกประหลาดกันทั้งนั้นเนอะ แต่จะมีตัวละครบางตัวที่จะมีความพิเศษ นั่นคือ มีพลังพิเศษที่แตกต่างไปจากคนอื่น เช่น บางตัวสามารถได้ยินบทสนทนาของคนอื่น บางตัวมีพลังควบคุมความคิดของคนอื่น อะไรแบบนี้เป็นต้น

หนังได้เปิดฉากเล่าถึงเหตุการณ์ใน คุกชอว์แชงค์กันละ ซึ่งแน่นอนว่า หนังอย่าง The Shawshank Redemption ย่อมต้องเป็นหนังขึ้นหิ้งและหนังในดวงใจของใครหลายๆ คน หนังที่มีต้นกำเนิดมาจากนิยายขนาดสั้นของ Stephen King เรื่อง Rita Hayworth and the Shawshank Redemption แม้ซีรีส์จะไม่ได้เล่าเรื่องการแหกคุก แต่ก็มีนักแสดงที่เคยเล่นหนังเรื่องนั้น เขาคือ Tim Robbins แล้วก็ยังมี Bill Skarsgård ที่เคยเล่นเรื่อง It ซึ่งนั่นก็เป็นผลงานจากปลายปากกาของชายชื่อ สตีเฟ่น คิง เช่นเดียวกัน

ข้อเสียของการที่เราไม่ใช่แฟนตัวยง ไม่ใช่นักอ่านที่ติดตามผลงานของคิง ทำให้บางแง่มุม บางคำพูดของตัวละคร ที่อาจอ้างอิงถึงเรื่องราวในนิยายบางเรื่องของเขา เราไม่ได้รู้สึกอินเท่าที่ควรจะเป็น แม้จะมองเห็นว่า เอ ตรงนี้ที่ตัวละครพูดมามันน่าจะหมายถึงใครสักคนในนิยายของคิง แต่แล้วก็ทำได้แค่ตงิดใจเท่านั้นเอง

ซีซันนี้ เล่าเรื่องโดยเน้นหนักไปที่ เฮนรี ดีฟเวอร์ ชายผิวดำผู้ที่วัยเด็กของเขาขาดหายไป รู้เพียงว่าตนเคยหายไป 11 วัน แต่หลังจากนั้นก็กลับมาอย่างน่าประหลาดใจ เขาจดจำเรื่องราวก่อนหน้านั้นไม่ได้ จึงเริ่มลงมือสืบหาความจริงเกี่ยวกับตนเอง ความคิดเช่นนั้นเริ่มขึ้นเมื่อเขาออกจากฮิวสตันมายังคุกชอว์แชงค์เพื่อว่าความให้กับนักโทษลึกลับคนหนึ่ง

ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มที่ถูกพบในคุก คนที่แทบไม่ปริปากพูดกับใคร คนที่เอ่ยคำแรกก็เป็นชื่อของเฮนรี่ ชายที่วันหนึ่งก็ได้ออกมาเดินนอกคุก เรื่องราวของชายผู้เด๋อด๋าคนนี้แท้จริงจะมีอะไรที่ลึกลับซ่อนอยู่ เป็นสิ่งที่ผู้ชมต้องการจะค้นหา

หนังเรื่องนี้มีจุดที่สำคัญคือ  การที่เฮนรี มีเพื่อนสมัยเรียน ที่อยู่ใกล้กันชื่อ มอลลี่ สแตรนด์ (จากหนังเรื่อง Don’t Look Up และ Up in the Air) สมัยเด็ก เธอมักจะใช้กล้องส่องทางไกลลอบสังเกตพฤติกรรมของบ้านตรงข้ามอยู่บ่อยๆ ตอนนี้ เธอกลายเป็นสาวที่หาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นนายหน้าขายบ้าน และเธอก็มีพลังพิเศษ สามารถจะได้ยินเสียงของคนที่อยู่ใกล้ได้ ความสามารถนี้ ดูไม่ต่างกับ The Kid มากนัก แต่ฝ่ายหลังนี่จะชอบไปยืนอยู่บนที่สูงๆ แล้วลอบฟังเสียงผู้คน แถมจะชอบฟังเสียงความทุกข์เศร้าของผู้คนมากเป็นพิเศษ

เรื่องราวในตอนแรกค่อนข้างช้าไปบ้างเล็กน้อย ใส่บรรยากาศชวนหวาดหวั่นพรั่นสะพรึงมาเป็นพักๆ จนแทบต้องใช้ความอดทนในการติดตามอยู่นิดหน่อย แต่สำหรับใครที่ชื่นชอบอะไรที่ชวนหลอน ชวนสงสัย ชอบการเล่าแบบหลอกล่อไปมา อาจรู้สึกชอบใจก็เป็นได้

เป็นพื้นที่ที่มีทั้งชนผิวขาวเจ้าของพื้นที่ อาศัยอยู่ร่วมกับเหล่าชนผิวดำเชื้อสายโซมาลีที่ได้รับการเอื้อเฟื้อให้เข้ามาอยู่อาศัยของป็อป เมอร์ริล (Tim Robbins จากหนังเรื่อง Mystic River และ Dark Waters) ชายผู้มีหลานสองคน เอซ เมอร์ริล (Paul Sparks จากซีรีส์ House of Cards) และคริส เมอร์ริล (Matthew Alan) ต่างคนมีนิสัยต่างกันคนละขั้ว

เหตุการณ์ทั้งหมด บอกว่า แอนนี่ และ จอย (จากหนังเรื่อง Eighth Grade และ Despicable Me 2)​ 2 แม่ลูกที่ขับรถย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ เหมือนจะหนีอะไรสักอย่าง ก่อนจะมาประสบอุบัติเหตุที่ตรงทางเข้าเมืองพอดิบพอดี แอนนี่เองก็มีปัญหาด้านจิต เธอมักเห็นภาพหลอนน่ากลัวๆ จนต้องพึ่งพายาต้านอาการทางจิต เธอขโมยยาจากคลังยามาทุกที่ที่เธอทำงาน ทั้งยังพยายามจะจำกัดไม่ให้จอยออกไปสุงสิงกับใคร แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยฟัง

โดยที่ในเมืองนี้กำลังสร้างห้างใหญ่ขึ้นมา เป็นห้างที่นำทีมโดย แอ๊บดี้ (Barkhad Abdi จากหนังเรื่อง Blade Runner 2049, Captain Phillips และ The Pirates of Somalia) พี่ชายของหมอนาเดีย (Yusra Warsama จากหนังเรื่อง The Last Days on Mars) ทั้งสองพี่น้องเป็นลูกบุญธรรมของป็อป โดยนาเดียก็คบหาอยู่กับคริส ขณะที่ใต้ดินเบื้องล่างของห้างแห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของหลุมฝังศพ

ตอนที่ 2 นั้น แคสเซิลร็อก ดูแล้วสนุกกว่าตอนแรกขึ้นเยอะเลย หนังจะพาเราไปทำความรู้จักกับชีวิตเบื้องหลังของแอนนี่ที่จะทำให้รู้จักกับความจริงที่ถูกเก็บซ่อนในตอนแรกๆ

และอดีตที่ส่งผลถึงความเป็นแอนนี่ในปัจจุบัน ถือว่า ซีซันที่สองนี่ทำได้สนุกเข้าขั้นเลยทีเดียว แล้ว แคสเซิลร็อก ก็ต้องปิดฉากลงไปอย่างเสียดายเมื่อทาง Stephen King และ JJ. Abrams รวมทั้งช่องทางสตรีมมิ่งอย่าง hulu จะออกมาประกาศไม่ทำต่อในซีซันถัดมาโดยไม่บอกเหตุผล ปล่อยให้ผู้ชมหันไปติดตามซีรีส์เรื่องอื่นๆ ที่มีการนำเอาบทประพันธ์ของคิงมาสร้างเอาเอง

รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง

แคสเซิลร็อก

พล็อตและบท – 7

การแสดง – 7.6 การดำเนินเรื่อง – 7.9 ดนตรีประกอบ – 8.1 งานถ่ายภาพและโปรดักชัน – 8

7.7

Castle Rock

หนังเรื่องนี้สามารถ ตัวละครจาก ละคร นิยายชื่อดัง เข้ามาเล่นรวมกันได้ดี ตอนแรกค่อนข้างเน้นความหลอนและการเล่าที่ชวนสับสน ขณะที่ซีซันสองหันมาเล่าเรื่องราวสไตล์ชวนตื่นเต้นมากขึ้น ทว่า Castle Rock ผ่านมาได้เพียง 2 ชีซันก็ต้องสิ้นสุดลงอย่างน่าเสียดาย